
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทุกคนคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศจีน ซึ่งก่อให้เกิดความสูเสียเป็นอันมาก ฉันบังเอิญได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งต้องขอบอกว่า น่าตกใจและน่ากลัวมาก เอาไว้ฉันจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง
การไปเยือนประเทศจีนของฉันในครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกฉันเดินทางไปเยี่ยมซูสีไทเฮา และท่านประธานเหมาที่กรุงปักกิ่ง แต่ครั้งนี้ ฉันขึ้นเหนือไป คาราวะจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของจีน ณ เมืองซีอาน มลฑลส่านซี ซึ่งก็คือเมืองหลวงของจีนแห่งแรกนั่นเอง ซีอานเป็นเมืองที่มีร่องรอยวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ บ่อน้ำพุร้อน และวัดห่านป่าใหญ่ แต่ละสถานที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งหากใครที่มีโอกาสไป เยือนแล้วก็ย่อม
ต้องไปแวะเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้อย่างพลาดไม่ได้แน่นอน อากาศของซีอานวันที่ฉันไปถึงนั้นค่อนข้างเย็นจนน่าตกใจเนื่องจากก่อนการเดินทางได้มีการตรวจสอบสภาวะอากาศจากประเทศไทยก็พบว่าอากาศเย็นกำลังพอดี แต่นี่มันตู้เย็นชัดๆ เมื่อแรกสัมผัสอากาศหนาว ฉันนึกถึงเสื้อผ้าที่เตรียมมาจากบ้าน โอ้แม่เจ้า....เสื้อผ้าเมืองร้อนล้วนๆ ฉันคงจะต้องป่วยแน่ๆ ดีนะ ที่เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยหนึ่งตัว คงจะพอถูไถไปได้บ้าง โรงแรมที่เข้าพักอยู่ติดกับศาลากลางของเมืองซีอาน เป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ทางด้านหน้าเป็นลานโล่งกว้างมีบ่อน้ำพุอยู่ตรงกลาง นึกๆ ไปก็คล้ายกับศาลากลางเก่าเชียงใหม่ของเรา (บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์) โดยเฉพาะบริเวณลานโล่ง เป็นแหล่งนัดพบของวัยรุ่นหัวใจติดล้อ นิยมมาเล่นสเก็ตเหมือนบ้านเราไม่มีผิด แตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่บ้านเราเล่นสเก็ต บอร์ด โรลเลอร์เบลด แต่วัยรุ่นซีอานเล่นสเก็ตสี่ล้อสมัยคุณแม่ยังสาว เป็นภาพที่น่ารักเอาการ ลานหน้าศาลากลางนี้เสมือนเป็นแหล่งศูนย์รวมวัยรุ่นยามราตรี ค่ำมืดดึกดื่นหนุ่มสาวก็ยังมาตั้งหน้า ตั้งตาลากสเก็ตโชว์ลีลากันอย่างไม่หยุดยั้ง ลานบริเวณหน้าศาลากลางยังมีความเก๋อีกอย่างหนึ่งคือในเวลา 9.00 น. และ 19.00 น. ของทุกๆ วันจะมีการเดินสวนสนามของทหารจีนเป็นประจำ

สถานที่แรกที่เราไปเยือนอย่างเป็นทางการก็คือ เจดีย์วัดห่านป่าใหญ่ ซึ่งเป็นวัดที่พระถังซัมจั๋งได้มาแปลพระไตรปิฎก เมื่อกล่าวถึงพระถังซัมจั๋งแล้วหลายๆ คน คงนึกถึง เห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย และบรรดาสาวกซึ่งร่วมเดินทางไปเอาพระไตรปิฎกยังดินแดนชมพูทวีป แต่แท้จริงแล้ว บรรดาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นตัวละคร ที่แต่งขึ้นเป็นกุศโลบายและเพื่อความสนุกสนาน เนื่องจากแท้จริงแล้วพระถังซัมจั๋งได้เดินทางไปชมพูทวีปเพียงลำพัง แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวละครเหล่านี้จะสร้างขึ้นมาจากจินตนาการเพียงอย่างเดียว เช่น เห้งเจีย นั้นมีเรื่องราวเล่ากันว่าคือชายที่พระถังซัมจั๋งขอร้องให้มาช่วยแปลพระไตรปิฎกเนื่องจากมีความเฉลียวฉลาดมาก โดยขอให้มาบวชเป็นพระภิกษุ แต่เขายื่นข้อเสนอต่อพระถังซัมจั๋งคือ เขาต้องสามารถมีภรรยา และสามารถทานเนื้อและดื่มเหล้าได้ เนื่องจากชายผู้นี้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย บิดามารดาต้องการให้เป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อไป พระถังซัมจั๋งยอมรับ ข้อเสนอเหล่านั้น เพราะหากแปลพระไตรปิฎกเพียงลำพังคงไม่สามารถทำสำเร็จได้เมื่อบวชเป็นภิกษุแล้วเขาได้มีพาหนะประจำตัวเป็นรถสามคัน คันที่หนึ่งเพื่อขนเหล้าและเนื้อ คันที่สองขนภรรยา ส่วนคันสุดท้ายขนพระไตรปิฎก ผู้ที่นำเรื่องราวของพระถังซำจั๋งมาทำเป็นละครได้นำคาแร็กเตอร์ ของชายผู้นี้มาดัดแปลงเป็นเห้งเจียนั่นเอง
การเดินทางของพระถังซำจั๋งนั้นใช้เวลาถึง 17 ปี เริ่มเดินทางตั้งแต่อายุ 27 ปี และใช้เวลาแปล พระไตรปิฎกอีก 2 ปี ที่วัดห่านป่าใหญ่ ในบริเวณวัดมีเจดีย์สูง 60 เมตรอยู่องค์หนึ่งบริเวณฐานของเจดีย์เป็นที่บรรจุพระไตรปิฎกที่พระถังซัมจั๋งได้นำมาจากชมพูทวีป ลานด้านหน้าวัดมีรูปปั้นของพระถังซัมจั๋งขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ ซึ่งได้รับความสนใจจาก นักท่องเที่ยวเป็นอันมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อมาถึงวัดพระถัมซัมจั๋งแล้วจะไม่ให้ถ่ายรูปคู่กับท่านเป็นที่ระลึกได้อย่างไร ด้วยความที่คนเยอะมากฉันจึงต้องใช้วิชาตัวเบาแทรกตัวเข้าไปถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว พรึบ....! ได้มาหนึ่งภาพ นอกจากนั้น บริเวณโดยรอบยังมีการนำของที่ระลึกต่างๆ มาวางขายมากมาย ทั้งของที่ระลึกพื้นเมืองและของที่ระลึกเกี่ยวกับโอลิมปิคเกมส์ แสดงให้เห็นว่า ชาวจีนนั้นตื่นเต้นกับโอลิมปิคกันอย่างจริงจัง

หลังจากดื่มด่ำกับพระพุทธศาสนาจนหน้าตา อิ่มบุไปตามๆ กันแล้ว ก็คงจะต้องถึงเวลาอิ่มท้อง กันบ้าง มาจีนครั้งนี้ฉันไม่อ้วนอลังการเหมือนคราวก่อนเนื่องจากอาหารไม่ค่อยจะถูกปากนัก เพราะเมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนเสฉวนซึ่งมีรสชาติ เค็ม มัน จืด หรือไม่ก็เผ็ดจนน่าตกใจไปเลย อาหารจีนเสฉวนนี่เขานิยมใส่เครื่องปรุงชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘หมาล่า’ มีฤทธิ์ทำให้ชา ฉันลองชิมไปหนึ่งคำ เพราะอยากทราบว่าจะชาจริงหรือไม่ปรากฏว่า ชา จริงๆ และเมื่อทานอาหารคำต่อๆ ไป ก็ไม่ค่อยจะถูกปากเพราะชาไปทั้งปาก ฉันยังไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่าจะชากันไปทำไมไม่ทราบ ถ้าอยากทานเผ็ดแต่กลัวแสบปากก็ใส่พริกให้น้อยลงก็สิ้นเรื่อง ไม่เข้าใจจริงๆ
ประเทศจีนนี้มีกฎว่าประชาชนจะสามารถครอบครองที่ดินได้เพียง 70 ปี หลังจากนั้นที่ดิน ดังกล่าวก็จะกลับมาเป็นของรัฐซึ่งหากต้องการใช้ประโยชน์ก็ต้องมีการต่อสัญญากันใหม่ เนื่องจากประเทศจีนมีประชากรมากจนกระทั่งที่ดินไม่เพียงพอ เมืองซีอานนั้นความเจริยังเกาะกลุ่มเฉพาะใจกลางเมือง สังเกตว่าสินค้า และร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีสัญชาติจีนแทบจะทั้งสิ้นไม่ค่อยมีสินค้าต่างสัญชาติพลัดหลงเข้ามาให้เกร่อเหมือนในบ้านเรา เชื่อไหมฉันไม่เจอเซเว่นอีเลเว่นที่ซีอานเลย ข้างๆ โรงแรมที่พักมี มินิมาร์ทตั้งอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ไม่ค่อยมีของขาย ฉันก็ไม่กล้าจะซื้ออะไรเพราะอ่านไม่ออก ไม่มีขนมหรือของใช้อะไรที่พอคุ้นตาเลย ข้างๆ มินิมาร์ทนั้นมี ลานเบียร์เล็กๆ แอบอยู่ ที่ใช้คำว่าแอบเนื่องจากว่า แอบจริงๆ มืดสลัวมากเหมือนแอบขายแอบกิน แต่ก็มีมิตรรักแฟนเพลงไปใช้บริการกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

ไหนๆ ก็เกริ่นถึงเรื่องราวของ Night Life แล้วจะขอเล่าเกี่ยวกับผับของซีอานต่อเลยดีกว่า คืนสุดท้ายก่อนกลับประเทศไทยฉันมีโอกาสได้ไปท่องราตรีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โชคดีที่ผับยอดนิยมอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก ชื่อว่า 1+1 การตกแต่งภายในสวยงามมากแต่น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายภาพฉันจึงอดเก็บบรรยากาศมาฝาก สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์สำหรับฉันที่สุดก็คือการทานเหล้าของที่นี่ มิกเซอร์ยอดนิยมของเขาคือชาเขียว!!!
วิธีการคือ นำน้ำแข็งใส่ลงไปในเหยือกตามด้วยเหล้าปริมาณประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่และตบด้วย ชาเขียวจนเกือบเต็มเหยือก รสชาติอร่อยมากดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา (รึเปล่า) ไฮไลท์อีกอย่างของผับที่นี่คือจะมีเวทีขนาดย่อมสำหรับผู้ที่ต้องการออกมาโชว์ลีลา คืนที่ ฉันไปนั้นมีนักเที่ยวกลุ่มหนึ่งออกมาโชว์ลวดลายอย่าง พร้อมเพรียง เหมือนกับว่าซ้อมกันมาจากบ้านเพื่อการนี้ ตลกมากเหมือนดูคนเล่นเกมเต้นพร้อมกันหลายๆ คน คืนนั้นพวกเรากลับออกจากผับมาประมาณตีสาม เดินกลับโรงแรมกันอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนอย่างแน่นอนอีกที่หนึ่งก็คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นสุสานของจักรพรรดิคนแรกของจีน มีเนื้อที่ประมาณ 56 ตารางกิโลเมตร มารดาของจิ๋นซีฮ่องเต้สร้างให้ตั้งแต่ท่านอายุ 13 ปี (พระชนมายุที่ขึ้นครองราชย์) เนื่องจากเชื่อว่าหากยิ่งสร้างสุสานเร็วเท่าไรก็ยิ่งอายุยืนมากขึ้นเท่านั้น รวมเวลาสร้างสุสานนาน 37 ปี สรุปว่าจิ๋นซีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ตอนอายุ 50 ปี สุสานนี้ใช้แรงงานถึง 700,000 คน และหุ่นทหารที่พบแต่ละตัวจะมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลยเนื่องจากนำเอาทหารที่ประจำการจริงมาเป็นแบบใน การสร้าง
เมื่อฉันเดินทางไปถึงยังสุสานนั้นฉันก็ถึงกับตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ส่วนที่เปิดให้เข้าชมเป็นเพียงแค่หนึ่งในยี่สิบเท่านั้น ในส่วนสำคัญอื่นๆ เช่นบริเวณที่เก็บพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา บรรดาหุ่นที่เราได้ชมนั้นเป็นเพียงทหารทั่วไป เมื่อเดินชมไปเรื่อยๆ ฉันก็อดนึกถึงเวียงกุมกามขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอดีต ความเป็น อันหนึ่งอันเดียวของประชาชน ในสมัยโบราณการก่อสร้างบ้านเมืองตึกรามบ้านช่อง ไม่ได้สะดวกรวดเร็วเหมือนปัจจุบัน จะต้องค่อยๆ แกะหิน ผสมดิน หลากหลายขั้นตอนกว่าจะได้ผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้น ต่างจากในปัจจุบันการก่อสร้างเป็นเรื่องง่ายดายแต่ความแข็งแรงทนทาน ไม่มีวันที่จะสู้ของเก่าได้แน่นอน ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มลฑลเสฉวนในประเทศจีน ตึกสูงต่างๆ เกิดการพังทลายลงมาทับผู้คน ส่งผลให้เกิดความสูเสียเป็นอันมาก ดังเช่นข่าวคราวที่เรารับทราบตามหน้าหนังสือพิมพ์ และตามสื่อต่างๆ
วันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวนั้นเป็นวันเดียวกับที่ฉันไปเยือนสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้พอดี เวลาท้องถิ่นที่ประเทศจีนประมาณบ่ายสามโมง ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางกลับจากสุสาน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ด้วยความที่ไม่รู้ภาษาจีนเลยนึกว่ามีคนทะเลาะกัน สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากตัวตึก พวกเรายืนงงกันอยู่สักพักก็รู้สึกโคลงเคลงเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้า คล้ายๆ กับคลื่นน้ำเวลายืนอยู่บนเรือข้ามฟาก เคลื่อนไหวแล้วหยุด เป็นระยะๆ จนกระทั่งแน่ใจว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเพราะที่บ้านเราก็เคยเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ครั้งนี้อาจแรงจนกระทั่งรู้สึกเวียนหัวแต่ก็ไม่น่ามีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงมากไปกว่านั้น ตอนนั้นฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ (ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่มลฑลเสฉวนในขณะที่ฉันอยู่มลฑลส่านซี) เมื่อนั่งรถออกมาจากสุสานเพื่อที่จะกลับเข้าในตัวเมือง ฉันพบว่าประเทศจีนในวันนี้เปลี่ยนไปจากวันก่อนหน้าที่เคยเห็น ชาวบ้านทุกคนต่างอพยพกันออกมานอกบ้าน ไม่มีใครสักคนที่กล้าอาศัยอยู่ภายในตัวอาคาร เหตุการณ์คงจะไม่เล็กน้อยอย่างที่คิดไว้ตอนแรก แต่อาจเป็นเพียงแค่ความตื่นตกใจมากกว่า ฉันมองภาพสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกผ่านกระจกรถ....ทว่าฉันเข้าใจผิด...
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและความสูเสียที่ประเทศจีน ทุกคนคงได้ทราบความเคลื่อนไหวเป็นอย่างดีจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากรที่เสียชีวิต หรือ สภาพอาคารบ้านเรือนที่เสียหายซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นในโรงเรียน นั่นคือตึกถล่มทับครูและนักเรียนที่กำลังมีการเรียนการสอนอยู่ ภาพข่าวเหล่านี้ฉันได้รับทราบเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าอาคารสาธารณะที่สมควรจะปลอดภัยกลับกลายเป็นบริเวณที่อันตรายที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของรัฐบาลใช่หรือไม่....
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยได้เกิดการตื่นตัวถึงผลกระทบจากแผ่นดินไหว ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นบริเวณเขื่อน หรืออาคารบ้านเรือนตึกสูงต่างๆที่สร้างได้คุณภาพบ้างไม่ได้คุณภาพบ้าง หากเกิดอาฟเตอร์ช็อคหรือแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้นมา ความสูเสียคงจะไม่ต่างจากประเทศจีนแน่นอน สิ่งที่ทางรัฐบาลออกมาเตือนประชาชนได้อย่างดีที่สุด ก็คือ หากเกิดแผ่นดินไหวขอให้ประชาชนไปหลบ ใต้โต๊ะ!!!!! ฉันเข้าใจว่าแผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติซึ่งไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ แต่หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาจริงๆสิ่งที่ดีที่สุดที่ประชาชนอย่างเราสามารถป้องกันตัวได้นั่นคือการไปหลบใต้โต๊ะเท่านั้นเองหรือ ใต้โต๊ะจะสามารถป้องกันความสะเพร่าของการก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพได้จริงหรือเปล่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าบ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่นั้นปกป้องคุ้มครองเราได้อย่างแท้จริง หรือต้องรอให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นดังเช่นที่ประเทศจีนเสียก่อน
เมื่อนั้นเราจึงจะได้ทราบความจริงจากใต้โต๊ะ...

ตีพิมพ์ลงนิตยสาร HIP : Jul 2008