วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Shalom Israel

“ L is for the way you look at me. O is for the only one I see…..” เสียงเรียกเข้าน้ำเน่าคุ้นหูดังขึ้น ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์พร้อมกับมองดูเบอร์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอ “ตุ้ย...เดือนกรกฏามีงานที่อิสราเอล ว่างไหม...” แดดยามบ่ายอันแสนขี้เกียจกลับดูกระฉับกระเฉงขึ้นในพริบตาและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันลงมือจัดกระเป๋าเดินทางอีกครั้ง ฉันไม่รู้จักประเทศอิสราเอลมากไปกว่า เป็นต้นกำเนิดศาสนาสำคัญๆถึงสามศาสนาคือ ศาสนาอิสลาม ศาสนายูดาย และศาสนาคริสต์ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ทะเลDead Sea อ๋อ แล้วก็.....โซฮาน!!!



หลังจากการหาข้อมูลจริงจังฉันก็พบว่า การเดินทางไปประเทศอิสราเอลนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลยต้องผ่านด่านต่างๆมากมายเริ่มตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ สายการบินที่บินตรงจากไทยไปอิสราเอลมีเพียงสายการบินเดียวคือ EL AL สายการบินประจำชาติอิสราเอล โดยมีขั้นตอนในการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตั้งแต่ตอนเช็คอิน ผู้โดยสารจะต้องเดินทางมาถึงก่อนเวลาสามชั่วโมงเพื่อมารับการสัมภาษณ์รายบุคล พอสัมภาษณ์เสร็จ ยังต้องมีการตรวจค้นสัมภาระกันอย่างละเอียดยิบ หลังจากที่ผ่านขั้นตอนนี้ไปได้เราก็จะสามารถเช็คอินและรับ Boarding Pass แต่กระเป๋าเดินทางที่น่าสงสารยังต้องระหกระเหินถูกส่งเข้าไปในห้อง pressure chamber ซึ่งถ้ากระเป๋ามีวัตถุระเบิดซ่อนอยู่ แรงดันจากห้องดังกล่าวจะทำให้ระเบิดออกมาก่อน เฮ้อ...! ฟังแล้วเหนื่อยไหมคะ ขอเล่าให้เห็นภาพแค่คร่าวๆก็แล้วกัน เดี๋ยวจะพาลเลิกอ่านกันซะก่อน พอเราขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินเรียบร้อยแล้วขอแนะนำว่าถ้าหลับได้ให้หลับเลยค่ะ เนื่องจากระยะเวลาการเดินทางยาวนานมากประมาณ 11 ชั่วโมงยังกะเดินทางไปแถบยุโรปเหนือ สาเหตุก็เพราะว่าต้องบินเลี่ยงน่านฟ้าของกลุ่มประเทศอาหรับโดยเลาะไปทางทะเลแดง ทำให้การเดินทางที่ควรจะใช้เวลาแค่ 6-7 ชั่วโมงกลับต้องขยายเวลาออกไปอีก จุดหมายปลายทางของเราคือสนามบินนานาชาติเบนกูเรียล (Ben Gurion) ซึ่งนับได้ว่าเป็นสนามบินที่ปลอดภัยสูงที่สุดในโลก เนื่องจากสนามบินแห่งนี้เคยถูกโจมตีหลายครั้ง จนกระทั่งมาตรการรักษาความปลอดภัยได้ถูกปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก

เฮ้อ....กว่าจะมาถึงจุดหมายก็แทบจะเป็นลมไปตามๆกัน ในเมื่อการเดินทางมันยากลำบากขนาดนี้ฉันก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้คุ้มค่ามากที่สุดล่ะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปตะลุยประเทศอิสราเอลกันเลยดีกว่า ที่แรกที่จะพาทุกคนไปคือตลาดคาร์เมล (Carmel Market) อยู่ใจกลางเมืองเทลอาวีฟ (Tel Aviv) ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ ของขายก็มีมากมายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ในส่วนของร้านค้าต่างก็ตกแต่งกันด้วยสีสันฉูดฉาดสะใจประกอบกับแสงแดงสดใสยิ่งทำให้บ้านเมืองดูมีชีวิตชีวา จนแทบไม่น่าเชื่อว่าประเทศเล็กๆนี้น่ะเหรอที่มักเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง บรรยากาศภายในตลาดก็เหมือนตลาดใหญ่ๆทั่วไปมีผู้คนพลุกพล่าน ส่วนเวลาจะซื้อของ ที่นี่ก็มีพิธีกรรมอย่างเดียวกับทั่วโลกคือต้องต่อๆๆๆพร้อมกับทำหน้าเศร้าเข้าไว้ ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องทำท่าเย่อหยิ่งพร้อมกับตีจากอย่างไม่มีเยื่อใย แต่หูก็ต้องคอยฟังเจ้าของร้านร้องเรียกด้วยนะคะ สูตรนี้ถือเป็นไม้ตายที่รู้กัน แต่ถ้าไม่สำเร็จก็เศร้าไป ในกรณีที่อยากได้จริงๆก็ค่อยวานให้เพื่อนอีกคนไปซื้อให้แทนเพราะเราเย่อหยิ่งไปแล้วนี่ค่ะทำไงล่ะคนมันอยากได้นี่

หลังจากเดินตลาดพอเป็นกษัยกันแล้วจุดหมายต่อไปก็คือเที่ยวชมวิวเขตจาฟฟา (Old Jaffa) เป็นเมืองเก่าแก่อายุกว่า 3000 ปีตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนเรียกได้ว่าเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งของอิสราเอลค่ะ ปัจจุบันรัฐบาลอิสราเอล ได้อนุรักษ์เขตนี้ไว้ แล้วอนุญาตให้ศิลปินมาพักอาศัยทำงานสร้างสรรค์และขายผลงานของตนเองแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน แต่ในวันที่ไปฉันกลับไม่ค่อยพบเห็นผู้คนซักเท่าไหร่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่าจนแอบคิดว่าเป็นเมืองร้างรึเปล่า ไม่แน่ชาวเมืองเค้าอาจจะหลบแดดกันอยู่ในบ้านก็ได้เพราะแดดที่อิสราเอลแรงมาก แต่ถึงแม้อากาศจะร้อนแรงแดงฉ่าสักแค่ไหนฉันก็ไม่หวั่นไหว วิ่งไปถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้อย่างเพลิดเพลิน ดูไปดูมาคล้ายกับฉากละครเรื่อง Mamma Mia เหมือนกันนะเนี่ยว่าแล้วฉันก็เลยเต้นเพลง ABBA ไปหนึ่งเพลง

ไหนๆเราก็เริ่มจากการเที่ยวชมเมืองแล้ว เราไปต่อกันที่เขตซิกรอน ยาคอฟ (Zichron Yaakov) เลยดีกว่า สถานที่นี้เปรียบเสมือนหัวหินของเมืองไทยเป็นเมืองต่างอากาศไฮโซนิดๆ ใช้เวลาขับรถซักพักจากตัวเมือง อยู่ติดกับทางตอนใต้ของเมืองเทลอาวีฟ ผู้คนมักจะพลุกพล่านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีทั้งคนอิสราเอลเอง และ นักท่องเที่ยว อาคารบ้านเรือนตกแต่งแบบน่ารักมีของวางขายตามรายทาง อารมณ์คล้ายๆกับ Sunday Market ทั่วไป ใครไคร่ค้าม้าค้าไคร่ค้าช้างค้าอย่างนั้นเลยล่ะค่ะ

มาถึงอิสราเอลแล้วไม่ไปลอยตัวที่ทะเล Dead Sea ก็คงจะน่าเสียดายมากๆ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนเปลี่ยนชุดว่ายน้ำและทาครีมกันแดดตรียมไว้เลยค่ะ ครั้งแรกที่ฉันรู้จักทะเล Dead Sea ก็คงจะเป็นวิชาภูมิศาสตร์ในหนังสือ ส.ป.ช. เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ใครจะไปนึกละว่าจะได้มีโอกาสมาจริงๆ เพราะฉะนั้นเรื่องการเตรียมตัวไม่ต้องห่วง พร้อมมากค่ะ!!! ฉันเตรียมชุดว่ายน้ำไปทั้งหมดสามตัว ไม่รู้เอาไปทำไมเยอะขนาดนั้น สุดท้ายเลือกไม่ถูกอยากจะใส่ทับๆกันไปซะสามชั้น แต่ก็กลัวจะหายใจไม่ออกเลยจำใจเลือกตัวเก่งแค่ตัวเดียว สำหรับข้อควรระวังมากที่สุดในการแช่ Dead Sea ก็คือถ้ามีแผลควรป้องกันไม่ให้แผลสัมผัสกับน้ำทะเลโดยตรง ไม่อย่างนั้นละก็น้ำเกลือเข้มข้นก็จะซึมเข้าไปกัดแผลแสบแบบสุดๆ แต่ถ้ามีรสนิยมซาดิสม์นิดๆคงจะเพลินล่ะคะงานนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ต้องระวังก็คือย่าให้น้ำทะเลเข้าตาเป็นอันขาด กรณีนี้โดนกับตัวขอบอกว่าทรมานมาก สาเหตุก็เพราะว่าลีลาถ่ายรูปมากไปหน่อยผลสุดท้ายน้ำทะเลก็กระเด็นเข้าตาเป็นที่เจ็บปวด ลืมตาไม่ขึ้นเลยค่ะ เฮ้อ....เกิดเป็นตุ้ยนี่มันยากจริงๆ

หลังจากเพลิดเพลินเจริญตากับการเที่ยวชมเมืองกันพอสมควรแล้ว คราวนี้ก็มาถึงโปรแกรมเด็ดที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวอิสราเอลค่ะ อย่างที่เกริ่นตั้งแต่ต้นว่าอิสราเอลเป็นประเทศต้นกำเนิดศาสนาสำคัญถึงสามศาสนา นอกจากนั้นดินแดนอันศักดิสิทธิ์แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถูปที่ฝังพระศพของ “พระบ๊อบ” ศาสดาพระองค์หนึ่งของศาสนาบาไฮ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาคาร์เมลใน เมืองไฮฟา( Haifa ) เป็นที่รู้จักกันโดนทั่วไปว่าสวนบาไฮ (Bahai Garden)

สวนแห่งนี้สร้างจำลองอุทยานสวรรค์ได้อย่างงดงามน่าอัศจรรย์ สังเกตจากรูปจะเห็นว่าบันไดที่ทอดยาวตั้งแต่ยอดเขาจนจรดถนนนั้นแทบจะเป็นเส้นตรงเดียวกันเลย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญค่ะ หลังจากที่มีการก่อสร้างสวนบาไฮเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าถนนด้านล่างอยู่เยื้องกับปลายบันไดไปเล็กน้อย ดังนั้นคณะศรัทธาจึงได้ทำการย้ายถนนให้เป็นเส้นตรงเดียวกับบันใดเพื่อความสวยงาม ด้วยความสงสัยฉันจึงได้ถามไกด์ท้องถิ่นไปว่า แล้วรัฐบาลเค้าไม่ว่าอะไรเหรอ ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ไม่ได้นับถือศาสนาบาไฮ แล้วการที่จะย้ายถนนนี่ก็ไม่เรื่องเล่นๆ คุณลุงไกด์ใจดีได้กรุณาตอบคำถามว่า รัฐบาลไม่ว่าอะไรหรอกเพราะว่าทางผู้สร้างออกเงินเองทั้งหมด อีกทั้งเค้ายังอยากให้ที่สวนแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย เอ้อ ก็จริงของเค้านะ ขนาดฉันไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาบาไฮซักเท่าไร ยังหยิบเอามาเล่าเป็นคุ้งเป็นแควได้ขนาดนี้ อีกทั้งนักท่องเที่ยวก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปชมอย่างไม่ขาดสาย ถือว่างานนี้รัฐบาลอิสราเอลมองเกมขาดจริงๆค่ะ

ในที่สุดก็ได้โอกาสพาทุกคนไปยังสถานที่ที่รอคอยกันซักที เมื่อพูดถึงอิสราเอลแล้วเมืองแรกๆที่เราจะนึกถึงนั่นก็คือกรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem) กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งของโลก ปัจจุบันถือว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธ์ของสามศาสนา โดยมีการแบ่งการปกครองออกเป็นของยิว อาหรับ มุสลิม และ คริสต์ ที่ดินบริเวณเมืองเก่ากรุงเยรูซาเล็มแห่งนี้นับวันจะมีมูลค่าสูงมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งรัฐบาลได้ออกกฎหมายว่าถ้าหากใครได้แจ้งย้ายสำมะโนครัวออกจากเยรูซาเล็มไปแล้วจะไม่สามารถย้ายกลับเข้ามาได้อีก ผลก็คือมีผู้คนอัดแน่นอยู่ในเมืองเก่าเล็กๆแห่งนี้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างบริเวณกรุงเยรูซาเล็มนี้มีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากกาลเวลาที่ยาวนานและความเชื่อที่หลากหลาย หากใครได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนจะสังเกตเห็นว่า มีสิ่งก่อสร้างต่างๆปะปนทับซ้อนกัน บางส่วนเป็นของชาวมุสลิมในขณะที่อีกฝั่งกำแพงชาวยิวถือว่าเป็นที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด หรือในโบสถ์เดียวกัน โซนหน้าเป็นของนิกายหนึ่ง เข้าไปในอีกโถงกลายเป็นของอีกนิกาย อีกทั้งภายในยังมีศิลปะจากยุคพันกว่าปีก่อนบ้าง สร้างเพิ่มเมื่อไม่กี่ร้อยปีบ้าง หรือพึ่งซ่อมแซมเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนบ้าง เสมือนกับเป็นสถานที่ที่อยู่เหนือกาลเวลา เราจะสามารถพบเห็นร้านกาแฟเล็กๆตามสมัยนิยมตั้งอยู่บนซากเมืองเก่าสมัยโรมันซึ่งคือเส้นทางที่พระเยซูเดินเพื่อไปยังจุดสุดท้ายที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน แค่เกริ่นเพียงเท่านี้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ เอาล่ะ เรามาเริ่มเดินทางตามรอยเท้าพระเยซูไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า

บริเวณกรุงเยรูซาเล็มนี้หากมองเผินๆเราจะเห็นเหมือนกับเป็นย่านขายของที่ระลึกโดยทั่วไป เพราะมีร้านค้าและมีแผงลอยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปริมาณของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลั่งไหลมายังดินแดนอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ เมื่อครั้งแรกที่ฉันไปถึงนั้นฉันตกใจกับบรรยากาศและความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้า มันช่างแตกต่างกับความคิดแรกของฉันเสียเหลือเกิน ก่อนที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ฉันคิดว่าคงเป็นสถานที่ๆสงบแลดูมีมนต์ขลัง หากแต่เปล่าเลย รอบตัวฉันมีแต่ความอึกกะทึกครึกโครมจนน่าตกใจ

เรากำลังจะเริ่มเดินทางกันบนถนนเวีย โดโลโรซา (Via Dolorosa) ถนนสายเก่าแก่ที่พระเยซูทรงแบกไม้กางเขนผ่าน ซึ่งมีจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆทั้งสิ้น 14 จุด เริ่มตั้งแต่ จุดแรกคือจุดที่ปิลาโตตัดสินประหารชีวิตพระเยซู เรื่อยไปจนกระทั่งถึงสถานที่ฝังพระศพของพระเยซู ซึ่งบริเวณจุดท้ายๆตั้งแต่จุดที่ 10 – 14 นั้นตั้งอยู่บนบริเวณที่เรียกว่า Church of the Holy Sepulchre โบสถ์แห่งนี้เองที่ชาวคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลกอยากมีโอกาสมาสักครั้งในชีวิต เสียงร้องเพลงสวดมนต์ดังกึกก้อง และใบหน้าอันเลื่อมใสศรัทธาของชาวคริสต์ทำให้ฉันอดขนลุกไปด้วยไม่ได้ อีกบริเวณหนึ่งที่มีผู้คนให้ความสนใจมากก็คือ แท่นหินที่ใช้ในการชำระพระศพของพระเยซู คริสต์ศาสนิกชนที่มีโอกาสมาสักการะก็มักจะเข้าไปลูบไล้ และจูบลงบนแท่นหินแห่งนี้

และไม่ไกลจาก Church of the Holy Sepulchre ยังมีสถานที่อีกที่หนึ่งซึ่งมีเชื่อเสียงและมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือ กำแพงร้องไห้ (Walling / Western Wall)ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดที่ยังคงอยู่ของชาวยิวทั่วโลก ความจริงแล้ว กำแพงร้องไห้ คือ ส่วนที่หลงเหลือของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกทำลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า โทษฐานเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อของชาวยิว (ความเชื่อที่แตกต่าง !!?) ชาวยิวต่างเดินทางมาสวดมนต์ที่กำแพงแห่งนี้เป็นเวลานานกว่า 2,000 ปีแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดในโลก

และพระเจ้าจะคอยฟังทุกคำขอของผู้ที่มาสวดอ้อนวอน เราจึงสามารถพบเห็นผู้คนมากมายพากันมาสวดมนต์ภาวนา บ้างก็ร้องไห้คร่ำครวญในชะตากรรมของตนเอง นอกจากนี้ชาวยิวยังนิยมเขียนคำขอลงในเศษกระดาษและสอดเข้าไปตามรูเล็กๆ ของกำแพง เพื่อพระเจ้าจะได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตนต้องการ สำหรับอีกฝั่งของกำแพงนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม

คือบริเวณที่ตั้งของโดมทอง (Dome of the Rock) / มัสยิดโอมาร์ (Mosque of Omar) ถือว่าเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวมุสลิมอีกแห่งหนึ่งและยังเชื่อว่ามีหินศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ภายในซึ่งศาสดามูฮะหมัดทรงเหยียบและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ สำหรับในส่วนนี้นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากอนุญาตเฉพาะชาวมุสลิมเท่านั้น ฉันเลยได้แต่ถ่ายภาพมาให้ชมกันจากมุมไกลๆ


จะเห็นว่าแค่เพียงพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตรในกรุงเยรูซาเล็มนั้นเต็มไปด้วยความหลากหลายทางความเชื่อ และศาสนา ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่จากการสังเกต ฉันพบว่ามีอยู่สาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้ทั้งหมดสามารถอยู่ร่วมกันได้ นั่นคือเศรษฐกิจ ด้วยความที่เป็นสถานที่ที่มี เรื่องราวและคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมายขนาดนี้ นักท่องเที่ยวย่อมหลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกๆคนล้วนแล้วแต่ได้รับประโยชน์จากดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไฉนเลยจะหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง แต่การอยู่ร่วมกันย่อมมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่ก็สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ไม่ตรงกัน


แต่ก็อย่างว่า ขนาดคนพูดภาษาเดียวกัน กินข้าวเหมือนกัน ร้องเพลงชาติเพลงเดียวกัน ยังไม่ค่อยจะถูกกันเลย หรือไม่จริง........ ?

Shalom ค่ะ


ป.ล. Shalom เป็นคำกล่าวทักทายในภาษาฮิบรู มีความหมายว่า “ สันติสุข ”




ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร HIP : Oct 2009

Dead Sea



เรามาประเดิมฉบับแรกของเรากันเลยดีกว่า ฉบับนี้ตุ้ย ขอพาเพื่อนๆ บินลัดฟ้าไปไกลหน่อย พวกเราจะเดินทางมุ่งหน้าไปเที่ยว Dead Sea ประเทศอิสราเอลกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็แพ็คกระเป๋า ออกเดินทางกันได้เลย อ่อ อย่าลืมพกครีมกันแดดไปด้วยล่ะ เดี๋ยวจะว่าเค้าไม่เตือน
ก่อนไปเที่ยว Dead Sea ตุ้ยก็หาข้อมมูลล่วงหน้ามาพอสมควร นอกจากจะทราบว่าเป็นทะเลที่เค็มมากที่สุดในโลกเพราะอยู่บริเวณต้ำกว่ารดับน้ำทะเลถึง -350 เมตรจนสามารถลอยทะเลตุ๊บป่องๆ เหมือนเพลงโจอี้บอยแล้ว เดทซียังมีทีเด็ดมากกว่านั้นค่ะ นั่นก็คือ โคลนนั่นเอง โคลนที่ Dead Sea เนี่ย ในประเทศอิสราเอลเค้านิยมนำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง ขนาดทำเป็นสินค้าส่งออกได้เลยเชียวล่ะ เพราะฉะนั้นภารกิจของเราคงไม่ใช่แค่แช่ทะเลซะแล้ว แต่เรายังต้องพอกโคลนให้หนำใจด้วย
เปรี๊ยง ! ไม่ใช่เสียงฟ้าผ่าแต่อย่างใด แต่ถ้าหากจะแปรความร้อนจากแสงอาทิตย์ให้ออกมาในรูปแบบของพลังงานเสียงแล้วละก็ คงไม่ต่างจากนี้แน่ๆ เปรี๊ยง เปรี๊ยง เปรี๊ยง ....! แดดร้อนมาก วันที่เราไปถึงนั้นอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 42 องศา โห ดีนะที่เราพกครีมกันแดดมาด้วย ไม่งั้นละก็ ....เฮ้อ ไม่อยากจะคิด
ในการแช่Dead Sea นั้น สิ่งที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษก็คือ อย่าให้น้ำเข้าตาเป็นอันขาดเชียวนะคะ เพราะว่าด้วยความเค็มจัดของน้ำทะเลนี่ล่ะ ทำให้เราแสบตาแบบสุดๆไปเลย ขอบอกว่าโดนมาแล้ว เพราะว่าอยากได้รูปสวยเลยโพสท่าต่างๆนานา มากไปหน่อย น้ำเลยกระเด็นเข้าตา โอ้โห ลืมตาไม่ขึ้นเลยล่ะค่ะ ต้องรีบไปฝักบัวที่เค้าจัดไว้ให้ตรงชายหาด(สงสัยจะมีคนโดนกันบ่อยแน่ๆ) อ่อ อีกอย่างที่ต้องเตือนกันไว้ก็คือ ใครที่มีแผลต่างๆโดยเฉพาะแผลสด ควรจะหาอะไรมาป้องกันแผลไว้ไม่ให้โดนน้ำนะคะ ไม่งั้นละก็จะแสบแบบน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลย ก็แหม น้ำเกลือเข้มข้นขนาดนั้นโดนแผลจะไหวเหรอคะ แต่ถ้าใครอยากลอง อยากรู้ว่าน้ำทะเลDead Sea จะช่วยรักษาแผลให้ให้หายได้จริงรึเปล่า ก็เชิญค่ะ แต่ตุ้ยไม่ไหวจริงๆ


ในที่สุดหลังจากบำเพ็ญเพียรมาเป็นระยะเวลานาน ผลบุญก็ส่งให้เราลอยเหนือน้ำได้ เฮ้ๆ .... ไม่ใช่! เพราะความเข้มข้นของน้ำทะเลต่างหาก เฮ้อ !!! พอลอยกันจนหนำใจสักพักก็ถึงภารกิจต่อไป นั้นก็คือ พอกโคลน ว่าแต่ว่า มันอยู่ไหนล่ะ เจ้าโคลนที่ว่าเนี่ย มองหาไม่ยักกะมี เลยเดินไปถามคนท้องถิ่นแถวๆนั้น เค้าบอกว่ามันอยู่บริเวณพื้นในทะเลต้องออกจากฝั่งไปอีกหน่อยถึงจะเจอ อืมมม....ยังไงละเนี่ย ใจนึงก็อยากพอก ใจนึงก็กลัวจะโดนคลื่นซัดไปโผล่จอร์แดน แถมเราไม่ได้พกพาสปอร์ทมาด้วยสิ ไอ่เรื่องโผล่จอร์แดนไม่กลัวเท่าโดน ต.ม. จอร์แดนดุเอาหรอกนะ สรุปแล้วก็เลย ไม่พอกดีกว่า เดี๊ยวค่อยไปซื้อโคลนใน Shop เอาแล้วกัน
มาถึงความมหัศจรร์ของDead Seaที่เกิดกับตุ้ยเลยดีกว่า นั่นก็คือ ...แผลเป็นหาย ฮ๊า ! กรี๊ด...!!! ใครว่าปฏิหารไม่มีจริงมาฟังทางนี้ เนื่องจากช่วงต้นเดือนก่อนออกเดินทาง ตุ้ยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนซึ่งเป็นกึ่งๆชอปเปอร์ ท่อจะสูงๆหน่อย ด้วยความซนตามประสาวัยรุ่น นั่งซ้อนแบบหันหลัง ฉ่า..! ขาโดนท่อไอเสีย....!!!! วงแดงเบอเริ่มเลยสิทีนี้ อยากร้องไห้ แต่ก็โทษใครไม่ได้ กล้ำกลืนฝืนทน ยอมรับชะตากรรม
แต่คนเราทำดีย่อมได้ดีค่ะ หลังจากที่ตุ้ยกลับจาก Dead Sea ประมาณ สองวัน สังเกตตรงบริเวณแผลเป็นจากท่อไอเสีย หนังกำพร้ามันลอกๆเหมือนขี้ไคล เห็นดังนั้น ตุ้ยไม่รอช้า เอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ขัดๆๆๆๆ จนระทั่ง แผลเป็นดำๆหลุดลอกหายไปไวยังกะโกหก คงเป็นเพราะความโชคดีที่ตอนลงไปแช่ แผลแห้งแล้วและอายุของแผลยังไม่นานเท่าไหร่ ความเค็มของน้ำทะเล ถึงสามารถช่วยกัดเซลผิวที่ตายแล้วออกไปได้ เยี่ยมไปเลย ว๊า !!! เมาท์กำลังมัน หมดหน้ากระดาษซะละ เอาเป็นว่า เรามาต่อกันเล่มหน้านะคะ คราวหน้า ตุ้ยจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวที่ไหน ยังไม่บอก แต่รับรองว่า พวกเราได้เที่ยวกันบ่อยๆ แน่นอนค่ะ ....บ๊ายบาย





ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Socio : Sep 2009

XI’AN SURVIVOR


เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทุกคนคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศจีน ซึ่งก่อให้เกิดความสูเสียเป็นอันมาก ฉันบังเอิญได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งต้องขอบอกว่า น่าตกใจและน่ากลัวมาก เอาไว้ฉันจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง

การไปเยือนประเทศจีนของฉันในครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกฉันเดินทางไปเยี่ยมซูสีไทเฮา และท่านประธานเหมาที่กรุงปักกิ่ง แต่ครั้งนี้ ฉันขึ้นเหนือไป คาราวะจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของจีน ณ เมืองซีอาน มลฑลส่านซี ซึ่งก็คือเมืองหลวงของจีนแห่งแรกนั่นเอง ซีอานเป็นเมืองที่มีร่องรอยวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ บ่อน้ำพุร้อน และวัดห่านป่าใหญ่ แต่ละสถานที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งหากใครที่มีโอกาสไป เยือนแล้วก็ย่อม


ต้องไปแวะเที่ยวชมสถานที่เหล่านี้อย่างพลาดไม่ได้แน่นอน อากาศของซีอานวันที่ฉันไปถึงนั้นค่อนข้างเย็นจนน่าตกใจเนื่องจากก่อนการเดินทางได้มีการตรวจสอบสภาวะอากาศจากประเทศไทยก็พบว่าอากาศเย็นกำลังพอดี แต่นี่มันตู้เย็นชัดๆ เมื่อแรกสัมผัสอากาศหนาว ฉันนึกถึงเสื้อผ้าที่เตรียมมาจากบ้าน โอ้แม่เจ้า....เสื้อผ้าเมืองร้อนล้วนๆ ฉันคงจะต้องป่วยแน่ๆ ดีนะ ที่เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยหนึ่งตัว คงจะพอถูไถไปได้บ้าง โรงแรมที่เข้าพักอยู่ติดกับศาลากลางของเมืองซีอาน เป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ทางด้านหน้าเป็นลานโล่งกว้างมีบ่อน้ำพุอยู่ตรงกลาง นึกๆ ไปก็คล้ายกับศาลากลางเก่าเชียงใหม่ของเรา (บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์) โดยเฉพาะบริเวณลานโล่ง เป็นแหล่งนัดพบของวัยรุ่นหัวใจติดล้อ นิยมมาเล่นสเก็ตเหมือนบ้านเราไม่มีผิด แตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่บ้านเราเล่นสเก็ต บอร์ด โรลเลอร์เบลด แต่วัยรุ่นซีอานเล่นสเก็ตสี่ล้อสมัยคุณแม่ยังสาว เป็นภาพที่น่ารักเอาการ ลานหน้าศาลากลางนี้เสมือนเป็นแหล่งศูนย์รวมวัยรุ่นยามราตรี ค่ำมืดดึกดื่นหนุ่มสาวก็ยังมาตั้งหน้า ตั้งตาลากสเก็ตโชว์ลีลากันอย่างไม่หยุดยั้ง ลานบริเวณหน้าศาลากลางยังมีความเก๋อีกอย่างหนึ่งคือในเวลา 9.00 น. และ 19.00 น. ของทุกๆ วันจะมีการเดินสวนสนามของทหารจีนเป็นประจำ





สถานที่แรกที่เราไปเยือนอย่างเป็นทางการก็คือ เจดีย์วัดห่านป่าใหญ่ ซึ่งเป็นวัดที่พระถังซัมจั๋งได้มาแปลพระไตรปิฎก เมื่อกล่าวถึงพระถังซัมจั๋งแล้วหลายๆ คน คงนึกถึง เห้งเจีย ตือโป๊ยก่าย และบรรดาสาวกซึ่งร่วมเดินทางไปเอาพระไตรปิฎกยังดินแดนชมพูทวีป แต่แท้จริงแล้ว บรรดาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นตัวละคร ที่แต่งขึ้นเป็นกุศโลบายและเพื่อความสนุกสนาน เนื่องจากแท้จริงแล้วพระถังซัมจั๋งได้เดินทางไปชมพูทวีปเพียงลำพัง แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวละครเหล่านี้จะสร้างขึ้นมาจากจินตนาการเพียงอย่างเดียว เช่น เห้งเจีย นั้นมีเรื่องราวเล่ากันว่าคือชายที่พระถังซัมจั๋งขอร้องให้มาช่วยแปลพระไตรปิฎกเนื่องจากมีความเฉลียวฉลาดมาก โดยขอให้มาบวชเป็นพระภิกษุ แต่เขายื่นข้อเสนอต่อพระถังซัมจั๋งคือ เขาต้องสามารถมีภรรยา และสามารถทานเนื้อและดื่มเหล้าได้ เนื่องจากชายผู้นี้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย บิดามารดาต้องการให้เป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อไป พระถังซัมจั๋งยอมรับ ข้อเสนอเหล่านั้น เพราะหากแปลพระไตรปิฎกเพียงลำพังคงไม่สามารถทำสำเร็จได้เมื่อบวชเป็นภิกษุแล้วเขาได้มีพาหนะประจำตัวเป็นรถสามคัน คันที่หนึ่งเพื่อขนเหล้าและเนื้อ คันที่สองขนภรรยา ส่วนคันสุดท้ายขนพระไตรปิฎก ผู้ที่นำเรื่องราวของพระถังซำจั๋งมาทำเป็นละครได้นำคาแร็กเตอร์ ของชายผู้นี้มาดัดแปลงเป็นเห้งเจียนั่นเอง





การเดินทางของพระถังซำจั๋งนั้นใช้เวลาถึง 17 ปี เริ่มเดินทางตั้งแต่อายุ 27 ปี และใช้เวลาแปล พระไตรปิฎกอีก 2 ปี ที่วัดห่านป่าใหญ่ ในบริเวณวัดมีเจดีย์สูง 60 เมตรอยู่องค์หนึ่งบริเวณฐานของเจดีย์เป็นที่บรรจุพระไตรปิฎกที่พระถังซัมจั๋งได้นำมาจากชมพูทวีป ลานด้านหน้าวัดมีรูปปั้นของพระถังซัมจั๋งขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ ซึ่งได้รับความสนใจจาก นักท่องเที่ยวเป็นอันมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อมาถึงวัดพระถัมซัมจั๋งแล้วจะไม่ให้ถ่ายรูปคู่กับท่านเป็นที่ระลึกได้อย่างไร ด้วยความที่คนเยอะมากฉันจึงต้องใช้วิชาตัวเบาแทรกตัวเข้าไปถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว พรึบ....! ได้มาหนึ่งภาพ นอกจากนั้น บริเวณโดยรอบยังมีการนำของที่ระลึกต่างๆ มาวางขายมากมาย ทั้งของที่ระลึกพื้นเมืองและของที่ระลึกเกี่ยวกับโอลิมปิคเกมส์ แสดงให้เห็นว่า ชาวจีนนั้นตื่นเต้นกับโอลิมปิคกันอย่างจริงจัง


หลังจากดื่มด่ำกับพระพุทธศาสนาจนหน้าตา อิ่มบุไปตามๆ กันแล้ว ก็คงจะต้องถึงเวลาอิ่มท้อง กันบ้าง มาจีนครั้งนี้ฉันไม่อ้วนอลังการเหมือนคราวก่อนเนื่องจากอาหารไม่ค่อยจะถูกปากนัก เพราะเมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนเสฉวนซึ่งมีรสชาติ เค็ม มัน จืด หรือไม่ก็เผ็ดจนน่าตกใจไปเลย อาหารจีนเสฉวนนี่เขานิยมใส่เครื่องปรุงชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘หมาล่า’ มีฤทธิ์ทำให้ชา ฉันลองชิมไปหนึ่งคำ เพราะอยากทราบว่าจะชาจริงหรือไม่ปรากฏว่า ชา จริงๆ และเมื่อทานอาหารคำต่อๆ ไป ก็ไม่ค่อยจะถูกปากเพราะชาไปทั้งปาก ฉันยังไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่าจะชากันไปทำไมไม่ทราบ ถ้าอยากทานเผ็ดแต่กลัวแสบปากก็ใส่พริกให้น้อยลงก็สิ้นเรื่อง ไม่เข้าใจจริงๆ
ประเทศจีนนี้มีกฎว่าประชาชนจะสามารถครอบครองที่ดินได้เพียง 70 ปี หลังจากนั้นที่ดิน ดังกล่าวก็จะกลับมาเป็นของรัฐซึ่งหากต้องการใช้ประโยชน์ก็ต้องมีการต่อสัญญากันใหม่ เนื่องจากประเทศจีนมีประชากรมากจนกระทั่งที่ดินไม่เพียงพอ เมืองซีอานนั้นความเจริยังเกาะกลุ่มเฉพาะใจกลางเมือง สังเกตว่าสินค้า และร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีสัญชาติจีนแทบจะทั้งสิ้นไม่ค่อยมีสินค้าต่างสัญชาติพลัดหลงเข้ามาให้เกร่อเหมือนในบ้านเรา เชื่อไหมฉันไม่เจอเซเว่นอีเลเว่นที่ซีอานเลย ข้างๆ โรงแรมที่พักมี มินิมาร์ทตั้งอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ไม่ค่อยมีของขาย ฉันก็ไม่กล้าจะซื้ออะไรเพราะอ่านไม่ออก ไม่มีขนมหรือของใช้อะไรที่พอคุ้นตาเลย ข้างๆ มินิมาร์ทนั้นมี ลานเบียร์เล็กๆ แอบอยู่ ที่ใช้คำว่าแอบเนื่องจากว่า แอบจริงๆ มืดสลัวมากเหมือนแอบขายแอบกิน แต่ก็มีมิตรรักแฟนเพลงไปใช้บริการกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง


ไหนๆ ก็เกริ่นถึงเรื่องราวของ Night Life แล้วจะขอเล่าเกี่ยวกับผับของซีอานต่อเลยดีกว่า คืนสุดท้ายก่อนกลับประเทศไทยฉันมีโอกาสได้ไปท่องราตรีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โชคดีที่ผับยอดนิยมอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก ชื่อว่า 1+1 การตกแต่งภายในสวยงามมากแต่น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายภาพฉันจึงอดเก็บบรรยากาศมาฝาก สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์สำหรับฉันที่สุดก็คือการทานเหล้าของที่นี่ มิกเซอร์ยอดนิยมของเขาคือชาเขียว!!!
วิธีการคือ นำน้ำแข็งใส่ลงไปในเหยือกตามด้วยเหล้าปริมาณประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่และตบด้วย ชาเขียวจนเกือบเต็มเหยือก รสชาติอร่อยมากดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา (รึเปล่า) ไฮไลท์อีกอย่างของผับที่นี่คือจะมีเวทีขนาดย่อมสำหรับผู้ที่ต้องการออกมาโชว์ลีลา คืนที่ ฉันไปนั้นมีนักเที่ยวกลุ่มหนึ่งออกมาโชว์ลวดลายอย่าง พร้อมเพรียง เหมือนกับว่าซ้อมกันมาจากบ้านเพื่อการนี้ ตลกมากเหมือนดูคนเล่นเกมเต้นพร้อมกันหลายๆ คน คืนนั้นพวกเรากลับออกจากผับมาประมาณตีสาม เดินกลับโรงแรมกันอย่างครึ้มอกครึ้มใจ


สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนอย่างแน่นอนอีกที่หนึ่งก็คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นสุสานของจักรพรรดิคนแรกของจีน มีเนื้อที่ประมาณ 56 ตารางกิโลเมตร มารดาของจิ๋นซีฮ่องเต้สร้างให้ตั้งแต่ท่านอายุ 13 ปี (พระชนมายุที่ขึ้นครองราชย์) เนื่องจากเชื่อว่าหากยิ่งสร้างสุสานเร็วเท่าไรก็ยิ่งอายุยืนมากขึ้นเท่านั้น รวมเวลาสร้างสุสานนาน 37 ปี สรุปว่าจิ๋นซีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ตอนอายุ 50 ปี สุสานนี้ใช้แรงงานถึง 700,000 คน และหุ่นทหารที่พบแต่ละตัวจะมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลยเนื่องจากนำเอาทหารที่ประจำการจริงมาเป็นแบบใน การสร้าง
เมื่อฉันเดินทางไปถึงยังสุสานนั้นฉันก็ถึงกับตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ส่วนที่เปิดให้เข้าชมเป็นเพียงแค่หนึ่งในยี่สิบเท่านั้น ในส่วนสำคัญอื่นๆ เช่นบริเวณที่เก็บพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา บรรดาหุ่นที่เราได้ชมนั้นเป็นเพียงทหารทั่วไป เมื่อเดินชมไปเรื่อยๆ ฉันก็อดนึกถึงเวียงกุมกามขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอดีต ความเป็น อันหนึ่งอันเดียวของประชาชน ในสมัยโบราณการก่อสร้างบ้านเมืองตึกรามบ้านช่อง ไม่ได้สะดวกรวดเร็วเหมือนปัจจุบัน จะต้องค่อยๆ แกะหิน ผสมดิน หลากหลายขั้นตอนกว่าจะได้ผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้น ต่างจากในปัจจุบันการก่อสร้างเป็นเรื่องง่ายดายแต่ความแข็งแรงทนทาน ไม่มีวันที่จะสู้ของเก่าได้แน่นอน ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มลฑลเสฉวนในประเทศจีน ตึกสูงต่างๆ เกิดการพังทลายลงมาทับผู้คน ส่งผลให้เกิดความสูเสียเป็นอันมาก ดังเช่นข่าวคราวที่เรารับทราบตามหน้าหนังสือพิมพ์ และตามสื่อต่างๆ
วันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวนั้นเป็นวันเดียวกับที่ฉันไปเยือนสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้พอดี เวลาท้องถิ่นที่ประเทศจีนประมาณบ่ายสามโมง ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางกลับจากสุสาน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ด้วยความที่ไม่รู้ภาษาจีนเลยนึกว่ามีคนทะเลาะกัน สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากตัวตึก พวกเรายืนงงกันอยู่สักพักก็รู้สึกโคลงเคลงเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้า คล้ายๆ กับคลื่นน้ำเวลายืนอยู่บนเรือข้ามฟาก เคลื่อนไหวแล้วหยุด เป็นระยะๆ จนกระทั่งแน่ใจว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเพราะที่บ้านเราก็เคยเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ครั้งนี้อาจแรงจนกระทั่งรู้สึกเวียนหัวแต่ก็ไม่น่ามีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงมากไปกว่านั้น ตอนนั้นฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ (ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่มลฑลเสฉวนในขณะที่ฉันอยู่มลฑลส่านซี) เมื่อนั่งรถออกมาจากสุสานเพื่อที่จะกลับเข้าในตัวเมือง ฉันพบว่าประเทศจีนในวันนี้เปลี่ยนไปจากวันก่อนหน้าที่เคยเห็น ชาวบ้านทุกคนต่างอพยพกันออกมานอกบ้าน ไม่มีใครสักคนที่กล้าอาศัยอยู่ภายในตัวอาคาร เหตุการณ์คงจะไม่เล็กน้อยอย่างที่คิดไว้ตอนแรก แต่อาจเป็นเพียงแค่ความตื่นตกใจมากกว่า ฉันมองภาพสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกผ่านกระจกรถ....ทว่าฉันเข้าใจผิด...
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและความสูเสียที่ประเทศจีน ทุกคนคงได้ทราบความเคลื่อนไหวเป็นอย่างดีจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากรที่เสียชีวิต หรือ สภาพอาคารบ้านเรือนที่เสียหายซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นในโรงเรียน นั่นคือตึกถล่มทับครูและนักเรียนที่กำลังมีการเรียนการสอนอยู่ ภาพข่าวเหล่านี้ฉันได้รับทราบเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าอาคารสาธารณะที่สมควรจะปลอดภัยกลับกลายเป็นบริเวณที่อันตรายที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของรัฐบาลใช่หรือไม่....
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยได้เกิดการตื่นตัวถึงผลกระทบจากแผ่นดินไหว ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นบริเวณเขื่อน หรืออาคารบ้านเรือนตึกสูงต่างๆที่สร้างได้คุณภาพบ้างไม่ได้คุณภาพบ้าง หากเกิดอาฟเตอร์ช็อคหรือแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้นมา ความสูเสียคงจะไม่ต่างจากประเทศจีนแน่นอน สิ่งที่ทางรัฐบาลออกมาเตือนประชาชนได้อย่างดีที่สุด ก็คือ หากเกิดแผ่นดินไหวขอให้ประชาชนไปหลบ ใต้โต๊ะ!!!!! ฉันเข้าใจว่าแผ่นดินไหวเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติซึ่งไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ แต่หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมาจริงๆสิ่งที่ดีที่สุดที่ประชาชนอย่างเราสามารถป้องกันตัวได้นั่นคือการไปหลบใต้โต๊ะเท่านั้นเองหรือ ใต้โต๊ะจะสามารถป้องกันความสะเพร่าของการก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพได้จริงหรือเปล่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าบ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่นั้นปกป้องคุ้มครองเราได้อย่างแท้จริง หรือต้องรอให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นดังเช่นที่ประเทศจีนเสียก่อน
เมื่อนั้นเราจึงจะได้ทราบความจริงจากใต้โต๊ะ...














ตีพิมพ์ลงนิตยสาร HIP : Jul 2008

Beijing in Love






หลังตัวอักษรตัวสุดท้ายถูกพิมพ์ลงไปบนรายงานที่ต้องส่งอาจารย์จบลง ภาระการเรียนปริญญาโทอันหนักอึ้งในคณะอักษรศาตร์ ภาควิชาศิลปการละคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของฉัน ก็สิ้นสุดลงเสียที เฮ้อ...เหนื่อยเหลือเกิน ฉันไม่นึกว่าการเรียนต่อหลังจากจบ มาหมาดๆ มันจะหนักหนาสาหัสได้ขนาดนี้ พรุ่งนี้แล้วสินะการเดินทางไกลครั้งใหม่ของฉันกำลังจะเริ่มขึ้นใน ‘กรุงปักกิ่ง’
การเดินทางในครั้งนี้มีคณะเดินทางทั้งหมด 16 คน พวกเรามีภารกิจอันยิ่งใหญ่หนักอึ้งรออยู่ข้างหน้า นั่นคือ ‘การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย’ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน หัวหน้าภารกิจในครั้งนี้คือ คุณป้อม - อัครเดช นาคบัลลังค์ และสาวสองพันปีสุดเปรี้ยว คุณอุ้ม - ใจสะคราญ นาคบัลลังค์ พี่ๆ ทั้ง 2 คนจะเป็นผู้ดูแล อำนวยความสะดวก และควบคุมความประพฤติของพวกเราตลอดการเดินทาง 7 วัน ซึ่งอันที่จริงแล้ววันที่เราต้องปฏิบัติภารกิจหลักมีแค่ 2 วันเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ พวกเราได้รับอนุญาตให้ท่องเที่ยวได้ตามอัธยาศัย ซึ่งฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าฉันจะต้องไปคารวะ พระนางเยโฮนาลา หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘ซูสีไทเฮา’ ให้ได้สักวันหนึ่ง
แค่นึกถึงก็ตื่นเต้นแล้ว

First day in Beijing
คณะของเรานัดพบกันเวลาตีห้าครึ่งที่สนามบินเชียงใหม่ การเดินทางในครั้งนี้พวกเราเดินทางโดยสายการบินไทย จากเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ - กรุงปักกิ่ง เครื่องบินจากเชียงใหม่ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผ่านก่อนเมฆบางๆ สีฟ้าเจือส้มของพระอาทิตย์ยามเช้า พวกเรามาต่อเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง
เครื่องบินสายการบินไทย TG 643 ร่อนลงสู่มหานครกรุงปักกิ่งเวลาประมาณบ่ายสี่โมงครึ่งตามเวลาท้องถิ่น (เวลาของประเทศจีนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) แต่กว่าเราจะได้เคลื่อนขบวนออกจากสนามบินเข้าสู่ที่พักนั้นใช้เวลาเช็คความเรียบร้องของสัมภาระอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ที่พักของพวกเราชื่อ ASIA - PACIFIC BUILDING อยู่ใกล้กับสถานทูตไทย และเป็นย่านที่มีชาวรัสเซียนนิยมอาศัยอยู่ (เนื่องจากประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อประเทศรัสเซียจึงทำให้ ชาวรัสเซียเข้ามาทำมาค้าขายกับชาวจีนเป็นจำนวนมาก) ดังนั้นตรงข้ามที่พักจึงมีห้างสรรพสินค้ารัสเซียและผับรัสเซียตั้งอยู่
ด้วยความหิวโซและเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานพวกเราจึงรีบเก็บสัมภาระเข้าสู่ห้องพัก เพื่อเตรียมตัวไปรับประทานอาหารจีนเป็นมื้อแรก ด้วยความหิวผสมความตื่นเต้นที่เพิ่งได้เหยียบดินแดนมังกร อาหารในมื้อนั้นพวกเราทานอะไรก็อร่อยไปหมด แม้แต่ถั่วลิสงทอดพวกเรายังรู้สึกว่ามันช่างทอดได้อร่อย เค็มกลมกล่อมเสียเหลือเกิน
ร้านนี้มีจุดเด่นแรกคือเมนูของร้านมีลักษณะคล้ายกับคัมภีร์จอมยุทธ์อย่างไรอย่างนั้น หากนึกภาพไม่ออก อนุญาตให้นึกภาพของพับสา หรือคัมภีร์ใบลานแทนได้ พวกเรารับประทานอาหารกันไปสักครู่ ฉันก็รอว่าเมื่อไรพนักงานจะเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟเราเสียที รอจนแล้วจนรอดฉันก็ยังไม่เห็นวี่แวว กระทั่งความจริงปรากฏว่าขวดสีเขียวเล็กหลายๆ ขวดบนโต๊ะนั่นเองคือน้ำเปล่าของชาวจีน โถ...ก็นึกว่าเป็นขวดเบียร์เสียอีก คราวนี้เวลาใครดื่มน้ำฉันเลยมองขำๆ เพราะเหมือนทุกคนบนโต๊ะคอแข็งมาก ดื่มเบียร์เท่าไรก็ไม่เมา (อาหารมื้อแรกในกรุงปักกิ่งนี้ได้รับความกรุณาจากทางพี่ๆ สถานทูตและ ครูแอ๊ว รองศาสตราจารย์ อรชุมา ยุทธวงศ์ ที่เดินทางมาเยี่ยมลูกสาวซึ่งทำงานอยู่สถานทูตในช่วงเวลาเดียวกับที่คณะเราไปพอดี ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)

Shopping day
เช้านี้ฉันตื่นนอนขึ้นมาตอนประมาณ 8 โมงเช้า วันนี้โปรแกรมของเราคือช่วงเช้าไป Shopping กันที่ ‘ซิ่วสุ่ย’ คล้ายๆ กับประตูน้ำแพลตตินั่มบ้านเรา ด้านหน้าเป็นตึกสูง 4 ชั้น วันนี้เรามีเวลาที่ซิ่วสุ่ยแค่ 2 ชั่วโมง ซึ่งชั้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือชั้นใต้ดิน แหล่งรวมกระเป๋า รองเท้า แต่ต้องต่อราคาดีๆ เพราะว่าคนขายจะตั้งเอาไว้แพงมาก เราเลยต้องใช้ทั้งพลังสติปัญญา และร่างกาย ผสมกับความสามารถทางการแสดงเล็กน้อยในการต่อรองจึงจะได้สินค้าที่ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่ค่อยชอบวิธีการนี้เท่าไหร่ เพราะกว่าจะซื้อได้แต่ละชิ้นเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าราคาที่จ่ายไปนั้นเหมาะสมจริงๆ แล้วหรือยัง
ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นบรรดาเสื้อผ้า ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก แว่นตา นาฬิกา คละกันไป ชั้นที่อยากแนะนำคือชั้น 4 จะขายของที่ระลึกและของหัตถกรรมพื้นบ้าน ซึ่งสวยงามและมีเอกลักษณ์มาก อีกทั้งราคาไม่แพง (แต่ก็ต้องใช้ความสามารถในการต่อรองสูงเช่นกัน) เมื่อถึงเวลานัดหมายพวกเราก็มาเจอกันที่รถตู้เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยัง ร้านอาหาร อาหารเที่ยงวันนี้เราทานอาหารไทยกันที่ ‘ร้านกระเทียม’ ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับที่พัก รสชาติไม่ค่อยจัดเท่าไร แต่ก็พอได้กลิ่นอายของอาหารไทย หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหมีพีมันดีแล้ว พวกเรามีเวลาอีกเล็กน้อยจึงตัดสินใจกันว่าเราจะเดินเท้าไปกันที่สถานทูตไทยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากโรงแรม
ยังไม่ทันที่จะเริ่มออกเดินทาง สายตาของพี่อุ้มก็ไปจับอยู่ที่ห้างสรรพสินค้ารัสเซีย และก็เสนอให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมชมกันดูภายในห้างสินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องหนัง กระเป๋าราคาถูกมาก สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องต่อรองอีกทั้งยังมีคุณภาพดีรูปลักษณ์มีรสนิยม พวกเราเดินชมกันอยู่สักครู่ก็เดินทางออกมาเนื่องจากใกล้ถึงเวลาที่เรานัดหมายแล้ว ระหว่างทางที่เดินไปสถานทูตนั้นโชคดีมากที่อากาศไม่ร้อนแถมยังมีแดดอ่อนๆ ทำให้เดินได้ไม่เหนื่อย บริเวณที่ตั้งของสถานทูตไทยก็จะมีสถานทูตของประเทศอื่นๆ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทุกแห่งจะมียามยืนเฝ้าอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน ยามที่ประเทศจีน จะต้องยืนตรงอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถแอบหลับได้เลยเนื่องจากว่า จะต้องหันหน้า ซ้าย ขวา หน้าตรง อยู่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฉันเลยอดคิดไม่ได้ว่าช่วงมาทำอาชีพยามแรกๆ จะต้องมีการคอเคล็ดกลับบ้านกันอย่างแน่นอน เพราะหันอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดเลย สถานทูตบางแห่งมียามยืนประจำอยู่สามคนเป็นกลุ่ม เวลาหันหน้าก็จะหันไปพร้อมๆ กันทุกคน เป็นภาพที่น่ารักดี
เมื่อมาถึงสถานทูตเราก็ได้มาเข้าพบท่าน รัฐกิจ มานะทัต เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านทูตได้ให้การต้อนรับและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ท่านได้แนะนำเกี่ยวกับประเทศจีนและกรุงปักกิ่งอย่างคร่าวๆ และยังได้บอกพวกเราอีกว่า พวกเรามาเยือนประเทศจีนในช่วงของวันชาติพอดี (1 ตุลาคม) ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของพวกเราด้วย หลังจากพูดคุยและแนะนำตัวกันสักพักพวกเราก็ได้ขอตัวไปทำการซ้อมการแสดง เพื่อที่จะสามารถแสดงออกมาได้เป็นอย่างดี พร้อมเพรียง พวกเราซ้อมการแสดงตั่งแต่ช่วงบ่ายจนถึงประมาณหนึ่งทุ่ม ก็มีรถจากสถานทูตมารับเราไปรับประทานอาหารอีกเช่นเคย
ช่วงหัวค่ำวันนี้อากาศเย็นมาก เราบางคนไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไปเนื่องจากอากาศในตอนกลางวันอบอุ่นดี ไม่นึกว่าอากาศตอนเย็นจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ คนที่ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไปก็ต้องเดินเบียดๆ กันเพื่อสร้างความอบอุ่น อากาศที่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงบ่อยมีทั้งร้อน และหนาวในวันเดียว บางวันมีฝนตกแถมอีกต่างหาก เรียกว่าวันหนึ่งมีครบทั้งสามฤดูเลยก็ว่าได้ ทำให้ฉันและเพื่อนคนอื่นๆ หลายคนครั่นเนื้อครั่นตัวจนต้องทานยาแก้ไข้กันไว้ เพราะหากป่วยขึ้นมาในตอนนี้ละก็ คงจะหมดสนุกกันเลยทีเดียว
ร้านอาหารที่พวกเราไปรับประทานกันในวันนี้บรรยากาศดีมาก ตัวอาคารสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน มีต้นไม้ใหญ่ช่วยสร้างบรรยากาศภายในร้าน พวกเราเลือกที่นั่งด้านนอกอาคาร เพราะถึงแม้จะเย็นแต่ก็บรรยากาศดี เมนูในวันนี้พวกเราได้รับอนุญาตให้สั่งเองโดยมีผู้ดูแลจากสถานทูตคอยอธิบายว่าอาหารแต่ละเมนูมีรูปลักษณ์ หน้าตาอย่างไร เมื่ออำนาจในการตัดสินใจในการสั่งอาหารตกมาอยู่มือของเราแล้ว ภาพต่อไปคงจะนึกออกไม่ยาก อาหารกว่า 10 ชนิด ค่อยๆ ลำเลียงมาเสิร์ฟตรงหน้า จานแล้วจานเล่า แต่ละรายการที่สั่งไปถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้างตามประสา มีอาหารอยู่จานหนึ่งเป็นปลาทอดราดพริก รสชาติคล้ายกับปลากระป๋องตราสามแม่ครัวมากๆ (สงสัยเจ้าของร้านอาจจะไปเที่ยวประเทศไทยและได้รับอิทธิพลมา) และอีกจานที่จำได้ไม่ลืม คือเป็นเนื้อวัวนึ่งหั่นสไลด์ รสชาติเหมือนกับจิ้นนึ่งบ้านเราไม่มีผิด ถ้าหากวันนั้นใครพกน้ำพริกแดงติดไปด้วย คงจะมีการฟ้อนสาวไหมกันกลางโต๊ะเลยทีเดียว
ไฮไลท์ ของร้านนี้คือเมนูเป็ดปักกิ่ง ที่นำเป็ดปักกิ่งทั้งตัวมาแล่ให้พวกเราดูที่โต๊ะ แถมยังมีฉากไม้มากั้นไม่ให้โต๊ะอื่นแอบดูอีกตะหาก เหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า “ถ้าอยากเห็นก็สั่งเองสิจ๊ะ” ความตื่นเต้นของร้านนี้ยังไม่หมด เมื่อเรานั่งรับประทานไปได้สักครู่ พนักงานก็นำตะกร้าใบหนึ่งมายังโต๊ะของพวกเรา ตอนแรกยังมองไม่เห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในแต่ได้ยินเสียงกุกกัก ดังเล็ดลอดออกมา เมื่อมองเข้าไปปรากฏว่าเป็นปลาตัวเขื่องที่กำลังดิ้นพร่าน เพราะขาดอากาศหายใจ สอบถามได้ความว่ามีพวกเราคนหนึ่งสั่งเมนูปลา พนักงานจึงนำเอาปลาตัวที่จะนำไปปรุงอาหารมาให้ดูก่อน โถ...ไม่ต้องก็ได้ ฉันนึกในใจ
หลังจากนั้นประมาณ 45 นาที ปลาทอดเหลืองทองตัวใหญ่มาก ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ไม่ต้องบอกก็คงจะพอเดาได้ว่าเป็นปลาตัวไหน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อเจ้าปลาตัวนี้อุตส่าห์อุทิศตนเป็นตัวแทนของประชาชนปลาจีนมาเป็นอาหารให้แก่แขกบ้านแขกเมืองอย่างเราแล้ว พวกเราจึงทำหน้ามึนกินไปพร้อมยืนนิ่งไว้อาลัย 3 นาที
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็กลับที่พักแยกย้ายกันพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อพรุ่งนี้จะได้มีกำลังเต็มที่หน้าตาสดใส พร้อมรับมือกับภารกิจครั้งสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ของเรา









Show times
วันนี้พวกเราตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะว่าต้องลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมกัน อากาศเย็นหนาวจี๊ดไปถึงหัวใจพวกเราหลายๆ คนเริ่มไม่สบายกันบ้างแล้ว เนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราไปถึงบริเวณงานในช่วงสาย เริ่มมีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องกระจายไปทั่วช่วยให้ความหนาวทุเลาลงบ้าง พวกเราแสดงกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ชื่อ The Place เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หรูหรา บริเวณโถงกลางมีหลังคาซึ่งเป็นจอทีวีขนาดยักษ์ ยาวประมาณ 20 เมตรกว้าง ประมาณ 5 เมตร เรียกว่าเวลามองต้องแหงนคอตั้งบ่าเลยทีเดียว
งานที่พวกเราไปร่วมแสดงในครั้งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Thai Festival 2007 ภายในงานนอกเหนือจากเวทีกลางที่ใช้สำหรับแสดงแล้ว ยังมีการเปิดซุ้มต่างๆไม่ว่าจะเป็น ซุ้มอาหารไทย ซุ้มการท่องเที่ยว และยังมีสาธิตการเพ้นท์ร่มบ่อสร้าง ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวจีนเป็นอันมาก สำหรับในส่วนของการแสดง มีการแสดงทั้งรำไทย ฟ้อนพื้นเมือง และการแสดงประยุกต์ เรียกความสนใจแก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาและคนในบริเวณงานได้เป็นอย่างดี บางคนถึงกับไม่ยอมลุกไปไหนหลังจากที่การแสดงจบเพราะต้องการที่จะรอชมการแสดงในรอบต่อไป
ในคืนวันที่ 4 หลังจากการแสดงเสร็จสิ้นแล้ว ฉันและเพื่อน 2 – 3 คนได้ตัดสินใจกันว่าจะออกไปตระเวณราตรีที่กรุงปักกิ่งกัน โดยมีพีชผู้ดูแลจากสถานทูตพาเราไป พวกเราเดินทางไปกันที่ โฮ่ไห่ ซึ่งเป็นย่านที่มีร้านอาหารและสถานบันเทิงตั้งอยู่ บรรยากาศสวยงามมาก ตรงกลางมีบึงกว้าง วัยรุ่นมักจะพากันไปนั่งเรือเล่นชมบรรยากาศ (ฉันอดคิดไม่ได้ว่าที่นี่เป็นที่ๆ คนจะมาขอแต่งงานกันบ่อยที่สุดในกรุงปักกิ่งรึเปล่านะ) ร้านรวงต่างๆ ก่อสร้างโดยใช้ลักษณะของสถาปัตยกรรมจีนโบราณแต่เก๋ที่ตกแต่งภายในอย่างโมเดิร์นและมีการประดับไฟกระพริบตามทางเดินเต็มไปหมด ในวันที่เราไปมีฝนตกปรอยๆ จึงอดเห็นร้านค้าต่างๆ บริเวณสองข้างทางซึ่งจะวางขายทั้งสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านและสินค้าทั่วไป บรรยากาศคล้ายคลึงกับถนนข้าวสารกับทองหล่อผสมกัน ร้านที่เราเลือกไปนั่งกันนั้นเป็นร้านของคนไทย และบังเอิญมากที่ในวันนั้นมีปาร์ตี้คนไทยพอดี ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่เพราะบรรยากาศไม่ได้ต่างกับเที่ยวที่ประเทศไทยเลย เปิดเพลงไทยล้วนๆ คนในร้านพูดภาษาไทยทั้งหมด อบอุ่นแต่ไม่รู้สึกแตกต่าง
เรานั่งได้สักพักก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ระหว่างทาง เรานั่งรถชมวิวกรุงปักกิ่งยามราตรี พีชพาไปดูจัตุรัสเทียนอันเหมินในยามค่ำคืนซึ่งประดับไฟไว้สวยมาก เนื่องจากเป็นช่วงของวันชาติ ทุกที่ในกรุงปักกิ่งจึงประดับประดาไฟเต็มไปหมด กว่าเราจะถึงที่พักเวลาก็เกือบจะตี 3 ความง่วงและมึนเริ่มเข้ามาครอบคลุม คงต้องรีบนอนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไม่ไหว


Beijing in Love
สถานที่แรกที่จะไปในเช้าวันนี้คือ เทียนถาน (Tian Tan Temple of Heaven) ด้านในประกอบไปด้วย หอบูชาสวรรค์ บริเวณหอบูชาสวรรค์นี้ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมด้านใน มีการล้อมรั้วเหล็กเอาไว้แล้วเราต้องชะเง้อมองเอาเอง ซึ่งฉันก็ชะเง้อแล้วชะเง้ออีกก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็นเพราะคนเยอะมากเนื่องจากเป็นวันชาติ เมื่อพยายามอย่างที่สุดแล้วฉันเลยตัดใจ ไม่เห็นก็ได้ ถือว่ามาแล้วก็แล้วกัน หลังจากที่ชะเง้อจนเมื่อยคอและปลายเท้าแล้ว ฉันก็เดินไปต่อที่กำแพงเสียงสะท้อน มีลักษณะเป็นวงกลมแค่พูดเบาๆ ก็จะได้ยินกันทั่วทั้งกำแพง ซึ่งด้วยความที่เป็นวันชาติอีกเช่นกัน ฉันจึงไม่รู้ว่าเราจะได้ยินเสียงกันจริงๆ ไหม เพราะคนเยอะมาก ฉันได้ยินแต่ภาษาจีน พอพวกเราไม่ได้ยินเสียงกันก็เริ่มตะโกนใส่กำแพง สรุปเลยไม่รู้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นน่ะ สะท้อนมาจากกำแพงหรือมาจากเสียงที่ตะโกน พวกเราลองทดสอบอยู่สักพักก็เริ่มเหนื่อย จึงออกเดินทางกันต่อไปยังบริเวณอื่นๆ ภายในเทียนถาน
อีกจุดหนึ่งซึ่งน่าสนใจก็คือ จุดบวงสรวงสวรรค์ของฮ่องเต้ เชื่อกันว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่อยู่ตรงกับสวรรค์และใกล้ชิดกับสวรรค์มากที่สุด จึงเป็นจุดที่ฮ่องเต้ใช้บูชาสวรรค์เป็นประจำ และด้วยเหตุผลเดิมคือคนเยอะมากฉันก็มองไม่ค่อยเห็นอะไรนอกจากคนตาตี่เป็นร้อยคน เสร็จจากการชมจุดบูชาสวรรค์แล้ว พวกเราก็ออกมารวมตัวกันที่รถตู้ เพื่อตอนบ่ายเราจะเดินทางไปเยี่ยมชม กู้กง หรือพระราชวังต้องห้ามในตำนานต่อไป
รถตู้พาเรามาส่งบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน (ภายในนั้นเป็นที่เก็บศพของท่านประธานเหมา เจ๋อตุง) ซึ่งตั้งอยู่ละแวกเดียวกับกู้กงนั่นเอง จุดที่ได้รับความนิยมอีกจุดหนึ่งคือ มีการติดตั้ง Olympic Countdown Clock ซึ่งวันที่พวกเราไปนั้นเหลือเวลาอีก 312 วัน พวกเราพากันไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พูดถึงเรื่อง Olympic แล้ว ชาวจีนตื่นตัวและตื่นเต้นกันมาก ของชำร่วยเกี่ยวกับงาน Olympic วางขายอยู่ทั่วเมือง ประเทศมีการพัฒนาทางด้านต่างๆ เพื่อรองรับงาน Olympic ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงห้องน้ำให้มีความเป็นสากลมากขึ้น เพราะหากใครเคยไปเมืองจีนในช่วงก่อนก็คงจะพอนึกภาพห้องน้ำออก เคยมีโอกาสไปเข้าห้องน้ำสาธารณะ บังเอิญห้องที่ว่างอยู่ในสุด ก็ต้องเดินเข้าไป ระหว่างทางฉันเห็นสาวจีนนั่งปัสสาวะอยู่เรียงราย ตกใจมาก!!!
ระยะทางจากที่เราลงรถไปถึงพระราชวังประมาณ 500 เมตร แต่ด้วยความที่คนเบียดเสียดยัดเยียดทำให้เราใช้เวลาเดินมากกว่าปกติ ตอนจังหวะที่เดินลอดอุโมงค์ใต้ดินฉันแอบคิดไม่ได้ว่าหากอยู่ๆ มีคนตะโกนว่า ระเบิด ฉันคงโดนเหยียบแบนอยู่ตรงนั้น โชคดีที่เป็นแค่เรื่องในความคิด ฉันจึงมาถึงพระราชวังอย่างสวัสดิภาพ ภายในพระราชวังก็มีพระตำหนักต่างๆ มากมาย เหมือนหลุดมาในหนังจีนกำลังภายใน มีทั้งสถานที่สอบจอหงวน มีบัลลังค์ซูสีไทเฮา ซึ่งสลักลวดลายหงส์เหนือมังกร มีโอ่งทองคำแท้ แต่โดนขูดทองออกไปสมัยยุคปฏิวัติเหลือแต่เพียงคราบกระดำกระด่าง คนจีนในยุคปฏิวัตินั้นจะว่าไปแล้วก็ทำลายวัฒนธรรมรากเหง้าของตนเองเป็นอันมาก เนื่องจากคิดแต่จะลบล้างราชวงศ์ ยึดและทำลายทุกอย่างที่เป็นของราชวงศ์ โดยมีผู้นำคือประธานเหมาเจ๋อตุง ซึ่งข้อเสียก็คือทำให้สถานที่ทางวัฒนธรรมต่างๆ ของจีนถูกทำลายลงเป็นส่วนใหญ่ และหากใครเคยไปเยือนประเทศไต้หวันคงจะต้องเคยไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์กูกง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของในพระราชสำนักจีนที่เจียงไคเช็คนำใส่เรือย้ายจากประเทศจีนเพื่อนำมาเก็บรักษาไว้ยังเกาะไต้หวันนั่นเอง
ในปัจจุบัน รัฐบาลจีน และประชาชนชาวจีน เล็งเห็นถึงคุณค่าของวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของตนเริ่มมีการบูรณะตึกรามบ้านช่อง พระราชวังต่างๆให้อยู่ในสภาพดี และหากใครเคยอ่านข่าวที่ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันแห่งหนึ่งถูกต่อต้านหลังจากที่ได้เข้าไปทำการค้าภายในบริเวณพระราชวังต้องห้าม อาจจะมีความรู้สึกเดียวกับฉันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราใช้เวลาในพระราชวังต้องห้ามประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เดินทางไปยัง walking street หรือ ถนนคนเดินชื่อ หวังฟูจิง ลักษณะคล้ายคลึงกับสยามสแควร์ เป็นแหล่งรวมของวัยรุ่น บริเวณตรงกลางเป็นหอนาฬิกา มีข้าวของขายมากมายหลายอย่าง และมีซอยเล็กๆ ที่ขายของพื้นเมืองทั้งซอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาไม่แพงจนเกินไป (แต่ก็ต้องอย่าลืมที่จะต่อรองราคาก่อนซื้อ) วันนั้นเดินทั้งวันจนขาแข็ง ฉันเลยหยุดพักทานโยเกิร์ตพื้นเมืองของที่นี่ ราคาประมาณ 3 หยวน (15 บาท) เป็นโยเกิร์ตโฮมเมด ข้นคลักมาก ฉันว่ารสชาติมันก็อร่อยแบบแปลกๆ ดี ถึงจะเหมือนกินนมบูดอยู่หน่อยๆ แต่ด้วยความข้นเลยรู้สึกว่ากินแล้วต้องสุขภาพดีแน่นอน วันนั้นก็เลยกินไป สองขวดเต็มๆ
ที่นี่ยังคงมีความเป็นสังคมนิยมอยู่อย่างชัดเจน เช่น ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ฉันได้ไปเดินที่หวังฟูจิงอีกครั้งเพื่อจะซื้อของฝากให้ครบ เวลาที่ไปถึงก็เป็นเวลาเกือบๆ 5 ทุ่ม ฉันดูของได้สักพักก็ต้องตกใจเพราะทุกร้านรีบเก็บข้าวของปิดหน้าร้านเหมือนหนีเทศกิจ ฉันถามคนที่พาไปด้วยก็ได้คำตอบว่า ร้านค้าเหล่านี้มีกำหนดต้องปิดเวลา 5 ทุ่ม ฉันเลยเข้าใจแต่ก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่าเขาค่อยๆ เก็บไม่ได้หรือ ทำไมต้องทำท่าตื่นเต้นตกใจขนาดนั้นทำเอาฉันพลอยตกใจไปด้วย
แต่ตรงจุดนี้ก็มีข้อดีของมันเช่นกัน เพราะฉันสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูกมากแทบจะไม่ต้องต่อเลย นอกจากหวังฟูจิงแล้วฉันยังได้ไป Yue Ley Chang หรือ เรียกง่ายๆว่าเป็นถนนสายวัฒนธรรม บ้านเรือนยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม ยังพบเห็นคนขี่จักรยานกันขวักไขว่ไปมา ที่นี่จะจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมจริงๆ เช่น พู่กันจีน ผ้าปักพื้นเมือง พระเก่า ภาพเขียนพู่กัน ฯลฯ ฉันได้ภาพเขียนพู่กันจีนรูปเสือมาจากที่นี่ ฝีมือประณีตมากสมกับที่เคยมีคนบอกฉันว่าคนจีนเขียนดรออิ้งเก่งมาก อาจเป็นเพราะโดยธรรมชาติของเขาเป็นคนใจเย็น อย่างเช่นเวลาเราฟังเพลงจีนเราก็จะรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย
การเดินทางในกรุงปักกิ่งของฉันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ แต่ความทรงจำและความประทับใจยังคงตรึงติดอยู่กับความรู้สึกของฉันอย่างยากจะลืม ในคืนสุดท้ายที่ฉันอยู่บนถนนหวังฟูจิง เสียงระฆังดังออกมาจากหอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ฉันรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างยาวนานเหลือเกิน
ลาก่อนกรุงปักกิ่ง...







ตีพิมพ์ในนิตยสาร HIP : Dec 2007

Don't do it

ได้รับโจทย์ให้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรทำ ตอนแรกรู้สึกว่าไม่ยากเลย ฉันมีเรื่องไม่พอใจรอบตัวอยู่เยอะแยะ แต่พอลองมากลั่นความรู้สึกให้ตกตะกอนดูกลับพบว่าฉันไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบอะไรจริงๆเลยสักอย่างเดียว เอาละซีทีนี้จะเขียนอะไรดี การที่ฉันบอกว่าไม่เคยเกลียดหรือไม่ชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่าพอใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวหรอกนะ มีหลายอย่างมากมายที่มันขัดหูขัดตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่นที่เหมือนหลุดออกมาจากบล็อกเดียวกันแต่งตัวตามๆกันโดยลืมไปว่าโลกนี้มีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ากระจก และมันมีคุณสมบัติในการใช้งานอย่างไร หรือจะเป็น หนังผี ที่ออกมากันให้เกลื่อนเกร่อ นัยว่าขอให้มืดๆหน่อย (ประหยัดงบไฟดี) เสียงดังๆนิดนึง บวกกับตัดต่ออย่างรวดเร็ว ก็กลายเป็นหนังผีเขย่าขวัญได้แล้ว เราอย่าไปดูถึงเนื้อหาเลย แค่อ่านชื่อที่จั่วหัวอยู่บนแผ่นโฆษณาก็รู้ถึงตอนจบแล้ว ฉันว่าหากจะทำหนังชนิดนี้อยู่อีกแนะนำให้ผู้ผลิตใช้นามแฝงแทน เพราะใส่ชื่อจริงนามสกุลจริงลงไป ไม่แน่ลูกหลานของท่านอาจโดนเพื่อนล้อที่โรงเรียนก็ได้ และเรื่องที่เห็นแล้วหงุดหงิดกวนใจเหมือนมีอะไรมาแหย่จมูกก็คือ การอภิปรายต่างๆของคณะที่ออกกฎหมายมาให้เราปฏิบัติตามนั่นแหละ ในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายนั้น เถียงกันหูดับตับแลบ ที่ไหนได้ เมื่อออกมาจากห้องอภิปรายแล้ว (ลับหลังจากการถ่ายทอดสด) ก็ออกมาขอโทษขอโพยกัน ที่ทำไปเพราะต้องการให้ประชาชนในท้องถิ่นของตนเห็นว่าตนเป็นคนกล้าคิดกล้าพูด โอ้วววววว์
ทั้งหมดนี้ถามว่าชอบไหม ก็ไม่ แต่รับได้ไหม รับได้ ไม่ได้หมายความว่าฉันเห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่ฉันเกิดที่นี่ ฉันโตมาในบริบทสังคมแบบนี้ ฉันมีภูมิคุ้มกันแล้ว เหมือนพวกหมองูที่ต้องฉีดพิษงูเข้าตัวนั่นแหละ... ฉันเลยคิดว่า สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดใน สถานการณ์เช่นนี้ก็คือต้องบอกตัวเองว่า ช่างแม่งเหอะ... มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเหตุการณ์เล็กๆเรียบๆแต่ก็เปลี่ยนมุมมองในชีวิตฉันไปได้เยอะเลยทีเดียว
วันนั้นเป็นค่ำวันอาทิตย์ ฉันกับเพื่อนชักชวนกันออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน เพื่อฆ่าเวลาก่อนจะไปกินเหล้าตามประสาสาวเมา ฉันมองไปตามรายทางเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งฉันมองไปเห็นเฟรมๆหนึ่ง รูปบนเฟรมทำให้หวนคิดถึงเพื่อนอีกคนที่เรียนมาด้วยกัน ฉันเริ่มบทสนทนากับเพื่อนข้างๆ “ถ้าอีแอนมาที่นี่คงเซ็ง” เพื่อนหันมามองหน้า พร้อมกับถามฉันอย่างงงๆ “ทำไมวะ” ฉันหัวเราะพร้อมกับตอบ “ก็มึงดู แม่งมีแต่งานพระ อีแอนมันเกลียดงานพระ ถ้ามันมาที่นี่มันคงเซ็งชิบหาย” เพื่อนฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นเราสองคนก็เดินเบียดฝูงชนกันไปเงียบๆ จนกระทั่งมันพูดขึ้นมาดื้อๆว่า “กูไม่อยากเกลียดอะไร” ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนเป็นเชิงสงสัย “ก็เวลากูเกลียดอะไรแล้วกูเหนื่อย”……
เนื้อหาใจความในการสนทนามีเพียงเท่านี้ ฉันกลับมานั่งทบทวนกับประโยคสุดท้ายที่เพื่อนพูด มันก็เป็นความจริง ฉันเกลียดนู่นเกลียดนี่มากมายเต็มไปหมด แต่ความเกลียดของฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ฉันเกลียดให้ดีขึ้นมาได้เลย สุดท้ายแล้วคนที่เหนื่อยก็คือฉันเอง แล้วอย่างนี้ เราจะเกลียดอะไรไปทำไม เราจะเหนื่อยในสิ่งที่ไม่ควรเหนื่อยไปเพื่ออะไร แค่การมีชีวิตแต่ละวันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว สิ่งที่ฉันได้จากการเดินฆ่าเวลากินเหล้าวันนั้นก็คือการปล่อยวาง เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเริ่มรำคาญใจ นึกดูให้ดีดี สักแห่งในร่างกายของอาจเราเคยถูกฉีดเซรุ่มเข้าไปแล้วโดยไม่รู้ตัว... หรืออย่างน้อยๆ ก็คิดซะว่า ช่างแม่ง ช่างแม่ง .....

Wariya




ความสวยและความสามารถที่สั่งสมมาจากการทุ่มเทให้กับการเรียนทางด้านการแสดง ส่งผลให้วันนี้ วริยา ขัติพิบูลย์ หรือ ตุ้ย นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิชาเอกศิลปะไทย วิชาโทการละคร คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่านเข้ารอบ 14 คนสุดท้ายของเวทีประกวดดัชชี่บอยแอนเกิร์ล 2006 (Dutchie Boy & Girls 2006) ภายหลังการประกวดตุ้ยได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด Coolhunter ตุ้ยบอกว่าการเรียนการแสดงของเธอไม่ใช่เพื่อเป็นดาราแต่เป็นเพราะเธอรักการแสดง





ตุ้ย เล่าให้ฟังว่าเริ่มเรียนการแสดงครั้งแรกจากสถาบันสโมสรเชียงใหม่การแสดง ซึ่งอำนวยการสอนโดย ครูต้อ - ชาติชาย แก้วสว่าง หลังจากนั้นเธอได้เข้าเรียนการแสดงและแสดงละครเวทีเรื่อง 'ขูลู - นางอั้ว' กับคณะละครมรดกใหม่ อำนวยการสอนโดย ครูช่าง - ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง รวมทั้งเข้าร่วมฝึกการแสดงกับกลุ่มละครมะขามป้อม หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้แสดงละครเวทีรวมทั้งเรียนการแสดงมาอย่างต่อเนื่อง



"ตอนเรียนคนอื่นก็เข้าใจตลอดว่าเราอยากเป็นดาราถึงมาเรียนการแสดง เราก็ถามตัวเองว่าเราอยากเป็นดาราใช่มั้ย เราก็ตอบไม่ถูกแต่ไม่ใช่ความอยากเป็นดาราแน่นอน เราเรียนเพราะความชอบ ความสนุกและได้ทำในสิ่งที่รักมากกว่า ถึงตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ ยิ่งเรียนมากขึ้น ยิ่งได้เจอครูเยอะๆ ก็จะทำให้เราได้เทคนิค และมุมมองทางการแสดงมากขึ้น เพราะครูแต่ละคนก็มีเทคนิคต่างกัน"





นอกจากเรียนการแสดงในโรงเรียนการแสดงแล้ว เธอยังมีโครงการเรียนต่อปริญญาโทด้านการแสดงที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยที่กำลังจะเปิดสอนเป็นปีแรกอีกด้วย "ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ หลังเรียนจบเลยคิดว่าจะไปสอบเรียนต่อปริญญาโทด้านศิลปะการละครของจุฬาฯ เราชอบเล่นละครเพราะสนุก แค่อ่านบทละครก็สนุกแล้ว ตอนนี้ก็เลยต้องอ่านหนังสือเยอะๆ เพื่อเตรียมตัวสอบ"





การเรียนการแสดงนอกจากจะช่วยเรื่องบุคลิกภาพ การเข้าสังคม การอยู่ร่วมกับคนอื่นและทำงานเป็นทีมแล้ว ตุ้ย บอกว่ายังทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้นอีกด้วย "การเรียนแอคติ้งทำให้เรามองคนลึกขึ้น เวลาเราต้องเล่นบทอะไรก็ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้าเราเล่นละครต้องรู้มากกว่าบทที่ให้มา เรียนรู้และทำความเข้าใจว่าทำไมเขาบ้า ทำไมเขาถึงเป็นฆาตกร เพราะคนเราไม่ได้มีแค่ด้านเดียวหรือมุมเดียว ในมุมที่เขาเป็นฆาตกรเขาอาจจะมีความจำเป็นบางอย่างหรือมีปมมาตั้งแต่เด็ก แอคติ้งคือการศึกษามนุษย์ในทุกอย่างทั้งท่าทาง และการสังเกตพฤติกรรม





"อย่างตอนประกวดดัชชี่ได้รับบทเป็นแม่นาคก็ยากเหมือนกันเพราะต้องจินตนาการให้ได้ว่าตัวเองเป็นวิญญาณที่รอคอยคนรัก แล้ววิญญาณเป็นยังไงก็คิดหนัก (หัวเราะ) หลังจากได้บทมาก็ต้องซ้อม ต้องทำการบ้าน ฝึกทั้งร่างกาย การหายใจ การใช้เสียง และออกกำลังกาย ต้องใช้ร่างกายทุกส่วนสื่ออารมณ์ในการแสดง เพราะแอคติ้งต้องใช้ทุกส่วนของร่างกายไม่ใช่แค่หน้าหรือเสียงเท่านั้น"





เธอเล่าต่อว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของเธอคือเป็นอาจารย์สอนการแสดง เพราะนอกจากจะได้ทำงานอย่างที่ตัวเองรักแล้วการได้ถ่ายทอดความรู้นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตการแสดงของเธอ



"อยากเป็นครูสอนการแสดงเพราะคิดว่าคงดีนะถ้าสิ่งที่เราชอบมีคนสนใจ แล้วเราก็มีนักเรียน มีลูกศิษย์



ไม่ใช่ว่าเราจะเก่งมากนะ แต่รู้สึกว่าเราก็มีอาจารย์ที่เราอยากคุยด้วย อยากวิ่งเข้าไปหาหรือเจอก็ไหว้ ถ้าเราได้รับอย่างนั้นบ้างคงมีความสุขดี ทำให้เราอยากเรียนต่อโททางด้านนี้และกลับมาเป็นอาจารย์มีโรงเรียนของตัวเอง แต่คงเป็นหนทางที่ไกลมาก"





ตุ้ย บอกว่าสิ่งสำคัญในการเป็นนักแสดงคือต้องมีวินัยในการซ้อม และตรงต่อเวลา "เราต้องทำงานกันเป็นทีมทำให้ต้องรักษาและดูแลตัวเองด้วย เพราะถ้าเราเป็นอะไรไปคนอื่นก็ทำงานไม่ได้ คือต้องมีความรับผิดชอบ เมื่อก่อนคิดว่าอยากเป็นนักแสดงที่ดี ที่ไม่ใช่ดารานะ เป็นนักแสดงแบบเล่นละครไม่ต้องได้เงินก็ได้ เราเป็นคนที่ถ้าอยากทำแล้วไม่ต้องพูดเรื่องเงิน



"ทำเพราะมีความสุขที่จะทำ"





สัมภาษณ์ นิตยสาร HIP : Feb 2007