หลังตัวอักษรตัวสุดท้ายถูกพิมพ์ลงไปบนรายงานที่ต้องส่งอาจารย์จบลง ภาระการเรียนปริญญาโทอันหนักอึ้งในคณะอักษรศาตร์ ภาควิชาศิลปการละคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของฉัน ก็สิ้นสุดลงเสียที เฮ้อ...เหนื่อยเหลือเกิน ฉันไม่นึกว่าการเรียนต่อหลังจากจบ มาหมาดๆ มันจะหนักหนาสาหัสได้ขนาดนี้ พรุ่งนี้แล้วสินะการเดินทางไกลครั้งใหม่ของฉันกำลังจะเริ่มขึ้นใน ‘กรุงปักกิ่ง’
การเดินทางในครั้งนี้มีคณะเดินทางทั้งหมด 16 คน พวกเรามีภารกิจอันยิ่งใหญ่หนักอึ้งรออยู่ข้างหน้า นั่นคือ ‘การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย’ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน หัวหน้าภารกิจในครั้งนี้คือ คุณป้อม - อัครเดช นาคบัลลังค์ และสาวสองพันปีสุดเปรี้ยว คุณอุ้ม - ใจสะคราญ นาคบัลลังค์ พี่ๆ ทั้ง 2 คนจะเป็นผู้ดูแล อำนวยความสะดวก และควบคุมความประพฤติของพวกเราตลอดการเดินทาง 7 วัน ซึ่งอันที่จริงแล้ววันที่เราต้องปฏิบัติภารกิจหลักมีแค่ 2 วันเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ พวกเราได้รับอนุญาตให้ท่องเที่ยวได้ตามอัธยาศัย ซึ่งฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าฉันจะต้องไปคารวะ พระนางเยโฮนาลา หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘ซูสีไทเฮา’ ให้ได้สักวันหนึ่ง
แค่นึกถึงก็ตื่นเต้นแล้ว
First day in Beijing
คณะของเรานัดพบกันเวลาตีห้าครึ่งที่สนามบินเชียงใหม่ การเดินทางในครั้งนี้พวกเราเดินทางโดยสายการบินไทย จากเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ - กรุงปักกิ่ง เครื่องบินจากเชียงใหม่ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผ่านก่อนเมฆบางๆ สีฟ้าเจือส้มของพระอาทิตย์ยามเช้า พวกเรามาต่อเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง
เครื่องบินสายการบินไทย TG 643 ร่อนลงสู่มหานครกรุงปักกิ่งเวลาประมาณบ่ายสี่โมงครึ่งตามเวลาท้องถิ่น (เวลาของประเทศจีนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) แต่กว่าเราจะได้เคลื่อนขบวนออกจากสนามบินเข้าสู่ที่พักนั้นใช้เวลาเช็คความเรียบร้องของสัมภาระอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ที่พักของพวกเราชื่อ ASIA - PACIFIC BUILDING อยู่ใกล้กับสถานทูตไทย และเป็นย่านที่มีชาวรัสเซียนนิยมอาศัยอยู่ (เนื่องจากประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อประเทศรัสเซียจึงทำให้ ชาวรัสเซียเข้ามาทำมาค้าขายกับชาวจีนเป็นจำนวนมาก) ดังนั้นตรงข้ามที่พักจึงมีห้างสรรพสินค้ารัสเซียและผับรัสเซียตั้งอยู่
ด้วยความหิวโซและเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานพวกเราจึงรีบเก็บสัมภาระเข้าสู่ห้องพัก เพื่อเตรียมตัวไปรับประทานอาหารจีนเป็นมื้อแรก ด้วยความหิวผสมความตื่นเต้นที่เพิ่งได้เหยียบดินแดนมังกร อาหารในมื้อนั้นพวกเราทานอะไรก็อร่อยไปหมด แม้แต่ถั่วลิสงทอดพวกเรายังรู้สึกว่ามันช่างทอดได้อร่อย เค็มกลมกล่อมเสียเหลือเกิน
ร้านนี้มีจุดเด่นแรกคือเมนูของร้านมีลักษณะคล้ายกับคัมภีร์จอมยุทธ์อย่างไรอย่างนั้น หากนึกภาพไม่ออก อนุญาตให้นึกภาพของพับสา หรือคัมภีร์ใบลานแทนได้ พวกเรารับประทานอาหารกันไปสักครู่ ฉันก็รอว่าเมื่อไรพนักงานจะเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟเราเสียที รอจนแล้วจนรอดฉันก็ยังไม่เห็นวี่แวว กระทั่งความจริงปรากฏว่าขวดสีเขียวเล็กหลายๆ ขวดบนโต๊ะนั่นเองคือน้ำเปล่าของชาวจีน โถ...ก็นึกว่าเป็นขวดเบียร์เสียอีก คราวนี้เวลาใครดื่มน้ำฉันเลยมองขำๆ เพราะเหมือนทุกคนบนโต๊ะคอแข็งมาก ดื่มเบียร์เท่าไรก็ไม่เมา (อาหารมื้อแรกในกรุงปักกิ่งนี้ได้รับความกรุณาจากทางพี่ๆ สถานทูตและ ครูแอ๊ว รองศาสตราจารย์ อรชุมา ยุทธวงศ์ ที่เดินทางมาเยี่ยมลูกสาวซึ่งทำงานอยู่สถานทูตในช่วงเวลาเดียวกับที่คณะเราไปพอดี ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)
Shopping day
เช้านี้ฉันตื่นนอนขึ้นมาตอนประมาณ 8 โมงเช้า วันนี้โปรแกรมของเราคือช่วงเช้าไป Shopping กันที่ ‘ซิ่วสุ่ย’ คล้ายๆ กับประตูน้ำแพลตตินั่มบ้านเรา ด้านหน้าเป็นตึกสูง 4 ชั้น วันนี้เรามีเวลาที่ซิ่วสุ่ยแค่ 2 ชั่วโมง ซึ่งชั้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือชั้นใต้ดิน แหล่งรวมกระเป๋า รองเท้า แต่ต้องต่อราคาดีๆ เพราะว่าคนขายจะตั้งเอาไว้แพงมาก เราเลยต้องใช้ทั้งพลังสติปัญญา และร่างกาย ผสมกับความสามารถทางการแสดงเล็กน้อยในการต่อรองจึงจะได้สินค้าที่ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่ค่อยชอบวิธีการนี้เท่าไหร่ เพราะกว่าจะซื้อได้แต่ละชิ้นเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าราคาที่จ่ายไปนั้นเหมาะสมจริงๆ แล้วหรือยัง
ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นบรรดาเสื้อผ้า ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก แว่นตา นาฬิกา คละกันไป ชั้นที่อยากแนะนำคือชั้น 4 จะขายของที่ระลึกและของหัตถกรรมพื้นบ้าน ซึ่งสวยงามและมีเอกลักษณ์มาก อีกทั้งราคาไม่แพง (แต่ก็ต้องใช้ความสามารถในการต่อรองสูงเช่นกัน) เมื่อถึงเวลานัดหมายพวกเราก็มาเจอกันที่รถตู้เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยัง ร้านอาหาร อาหารเที่ยงวันนี้เราทานอาหารไทยกันที่ ‘ร้านกระเทียม’ ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับที่พัก รสชาติไม่ค่อยจัดเท่าไร แต่ก็พอได้กลิ่นอายของอาหารไทย หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหมีพีมันดีแล้ว พวกเรามีเวลาอีกเล็กน้อยจึงตัดสินใจกันว่าเราจะเดินเท้าไปกันที่สถานทูตไทยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากโรงแรม
ยังไม่ทันที่จะเริ่มออกเดินทาง สายตาของพี่อุ้มก็ไปจับอยู่ที่ห้างสรรพสินค้ารัสเซีย และก็เสนอให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมชมกันดูภายในห้างสินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องหนัง กระเป๋าราคาถูกมาก สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องต่อรองอีกทั้งยังมีคุณภาพดีรูปลักษณ์มีรสนิยม พวกเราเดินชมกันอยู่สักครู่ก็เดินทางออกมาเนื่องจากใกล้ถึงเวลาที่เรานัดหมายแล้ว ระหว่างทางที่เดินไปสถานทูตนั้นโชคดีมากที่อากาศไม่ร้อนแถมยังมีแดดอ่อนๆ ทำให้เดินได้ไม่เหนื่อย บริเวณที่ตั้งของสถานทูตไทยก็จะมีสถานทูตของประเทศอื่นๆ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทุกแห่งจะมียามยืนเฝ้าอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน ยามที่ประเทศจีน จะต้องยืนตรงอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถแอบหลับได้เลยเนื่องจากว่า จะต้องหันหน้า ซ้าย ขวา หน้าตรง อยู่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฉันเลยอดคิดไม่ได้ว่าช่วงมาทำอาชีพยามแรกๆ จะต้องมีการคอเคล็ดกลับบ้านกันอย่างแน่นอน เพราะหันอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดเลย สถานทูตบางแห่งมียามยืนประจำอยู่สามคนเป็นกลุ่ม เวลาหันหน้าก็จะหันไปพร้อมๆ กันทุกคน เป็นภาพที่น่ารักดี
เมื่อมาถึงสถานทูตเราก็ได้มาเข้าพบท่าน รัฐกิจ มานะทัต เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านทูตได้ให้การต้อนรับและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ท่านได้แนะนำเกี่ยวกับประเทศจีนและกรุงปักกิ่งอย่างคร่าวๆ และยังได้บอกพวกเราอีกว่า พวกเรามาเยือนประเทศจีนในช่วงของวันชาติพอดี (1 ตุลาคม) ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของพวกเราด้วย หลังจากพูดคุยและแนะนำตัวกันสักพักพวกเราก็ได้ขอตัวไปทำการซ้อมการแสดง เพื่อที่จะสามารถแสดงออกมาได้เป็นอย่างดี พร้อมเพรียง พวกเราซ้อมการแสดงตั่งแต่ช่วงบ่ายจนถึงประมาณหนึ่งทุ่ม ก็มีรถจากสถานทูตมารับเราไปรับประทานอาหารอีกเช่นเคย
ช่วงหัวค่ำวันนี้อากาศเย็นมาก เราบางคนไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไปเนื่องจากอากาศในตอนกลางวันอบอุ่นดี ไม่นึกว่าอากาศตอนเย็นจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ คนที่ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไปก็ต้องเดินเบียดๆ กันเพื่อสร้างความอบอุ่น อากาศที่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงบ่อยมีทั้งร้อน และหนาวในวันเดียว บางวันมีฝนตกแถมอีกต่างหาก เรียกว่าวันหนึ่งมีครบทั้งสามฤดูเลยก็ว่าได้ ทำให้ฉันและเพื่อนคนอื่นๆ หลายคนครั่นเนื้อครั่นตัวจนต้องทานยาแก้ไข้กันไว้ เพราะหากป่วยขึ้นมาในตอนนี้ละก็ คงจะหมดสนุกกันเลยทีเดียว
การเดินทางในครั้งนี้มีคณะเดินทางทั้งหมด 16 คน พวกเรามีภารกิจอันยิ่งใหญ่หนักอึ้งรออยู่ข้างหน้า นั่นคือ ‘การเผยแพร่วัฒนธรรมไทย’ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน หัวหน้าภารกิจในครั้งนี้คือ คุณป้อม - อัครเดช นาคบัลลังค์ และสาวสองพันปีสุดเปรี้ยว คุณอุ้ม - ใจสะคราญ นาคบัลลังค์ พี่ๆ ทั้ง 2 คนจะเป็นผู้ดูแล อำนวยความสะดวก และควบคุมความประพฤติของพวกเราตลอดการเดินทาง 7 วัน ซึ่งอันที่จริงแล้ววันที่เราต้องปฏิบัติภารกิจหลักมีแค่ 2 วันเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ พวกเราได้รับอนุญาตให้ท่องเที่ยวได้ตามอัธยาศัย ซึ่งฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าฉันจะต้องไปคารวะ พระนางเยโฮนาลา หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘ซูสีไทเฮา’ ให้ได้สักวันหนึ่ง
แค่นึกถึงก็ตื่นเต้นแล้ว
First day in Beijing
คณะของเรานัดพบกันเวลาตีห้าครึ่งที่สนามบินเชียงใหม่ การเดินทางในครั้งนี้พวกเราเดินทางโดยสายการบินไทย จากเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ - กรุงปักกิ่ง เครื่องบินจากเชียงใหม่ค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผ่านก่อนเมฆบางๆ สีฟ้าเจือส้มของพระอาทิตย์ยามเช้า พวกเรามาต่อเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง
เครื่องบินสายการบินไทย TG 643 ร่อนลงสู่มหานครกรุงปักกิ่งเวลาประมาณบ่ายสี่โมงครึ่งตามเวลาท้องถิ่น (เวลาของประเทศจีนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) แต่กว่าเราจะได้เคลื่อนขบวนออกจากสนามบินเข้าสู่ที่พักนั้นใช้เวลาเช็คความเรียบร้องของสัมภาระอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ที่พักของพวกเราชื่อ ASIA - PACIFIC BUILDING อยู่ใกล้กับสถานทูตไทย และเป็นย่านที่มีชาวรัสเซียนนิยมอาศัยอยู่ (เนื่องจากประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อประเทศรัสเซียจึงทำให้ ชาวรัสเซียเข้ามาทำมาค้าขายกับชาวจีนเป็นจำนวนมาก) ดังนั้นตรงข้ามที่พักจึงมีห้างสรรพสินค้ารัสเซียและผับรัสเซียตั้งอยู่
ด้วยความหิวโซและเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานพวกเราจึงรีบเก็บสัมภาระเข้าสู่ห้องพัก เพื่อเตรียมตัวไปรับประทานอาหารจีนเป็นมื้อแรก ด้วยความหิวผสมความตื่นเต้นที่เพิ่งได้เหยียบดินแดนมังกร อาหารในมื้อนั้นพวกเราทานอะไรก็อร่อยไปหมด แม้แต่ถั่วลิสงทอดพวกเรายังรู้สึกว่ามันช่างทอดได้อร่อย เค็มกลมกล่อมเสียเหลือเกิน
ร้านนี้มีจุดเด่นแรกคือเมนูของร้านมีลักษณะคล้ายกับคัมภีร์จอมยุทธ์อย่างไรอย่างนั้น หากนึกภาพไม่ออก อนุญาตให้นึกภาพของพับสา หรือคัมภีร์ใบลานแทนได้ พวกเรารับประทานอาหารกันไปสักครู่ ฉันก็รอว่าเมื่อไรพนักงานจะเอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟเราเสียที รอจนแล้วจนรอดฉันก็ยังไม่เห็นวี่แวว กระทั่งความจริงปรากฏว่าขวดสีเขียวเล็กหลายๆ ขวดบนโต๊ะนั่นเองคือน้ำเปล่าของชาวจีน โถ...ก็นึกว่าเป็นขวดเบียร์เสียอีก คราวนี้เวลาใครดื่มน้ำฉันเลยมองขำๆ เพราะเหมือนทุกคนบนโต๊ะคอแข็งมาก ดื่มเบียร์เท่าไรก็ไม่เมา (อาหารมื้อแรกในกรุงปักกิ่งนี้ได้รับความกรุณาจากทางพี่ๆ สถานทูตและ ครูแอ๊ว รองศาสตราจารย์ อรชุมา ยุทธวงศ์ ที่เดินทางมาเยี่ยมลูกสาวซึ่งทำงานอยู่สถานทูตในช่วงเวลาเดียวกับที่คณะเราไปพอดี ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)
Shopping day
เช้านี้ฉันตื่นนอนขึ้นมาตอนประมาณ 8 โมงเช้า วันนี้โปรแกรมของเราคือช่วงเช้าไป Shopping กันที่ ‘ซิ่วสุ่ย’ คล้ายๆ กับประตูน้ำแพลตตินั่มบ้านเรา ด้านหน้าเป็นตึกสูง 4 ชั้น วันนี้เรามีเวลาที่ซิ่วสุ่ยแค่ 2 ชั่วโมง ซึ่งชั้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือชั้นใต้ดิน แหล่งรวมกระเป๋า รองเท้า แต่ต้องต่อราคาดีๆ เพราะว่าคนขายจะตั้งเอาไว้แพงมาก เราเลยต้องใช้ทั้งพลังสติปัญญา และร่างกาย ผสมกับความสามารถทางการแสดงเล็กน้อยในการต่อรองจึงจะได้สินค้าที่ราคาสมเหตุสมผล ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่ค่อยชอบวิธีการนี้เท่าไหร่ เพราะกว่าจะซื้อได้แต่ละชิ้นเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าราคาที่จ่ายไปนั้นเหมาะสมจริงๆ แล้วหรือยัง
ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นบรรดาเสื้อผ้า ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก แว่นตา นาฬิกา คละกันไป ชั้นที่อยากแนะนำคือชั้น 4 จะขายของที่ระลึกและของหัตถกรรมพื้นบ้าน ซึ่งสวยงามและมีเอกลักษณ์มาก อีกทั้งราคาไม่แพง (แต่ก็ต้องใช้ความสามารถในการต่อรองสูงเช่นกัน) เมื่อถึงเวลานัดหมายพวกเราก็มาเจอกันที่รถตู้เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยัง ร้านอาหาร อาหารเที่ยงวันนี้เราทานอาหารไทยกันที่ ‘ร้านกระเทียม’ ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับที่พัก รสชาติไม่ค่อยจัดเท่าไร แต่ก็พอได้กลิ่นอายของอาหารไทย หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหมีพีมันดีแล้ว พวกเรามีเวลาอีกเล็กน้อยจึงตัดสินใจกันว่าเราจะเดินเท้าไปกันที่สถานทูตไทยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากโรงแรม
ยังไม่ทันที่จะเริ่มออกเดินทาง สายตาของพี่อุ้มก็ไปจับอยู่ที่ห้างสรรพสินค้ารัสเซีย และก็เสนอให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมชมกันดูภายในห้างสินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องหนัง กระเป๋าราคาถูกมาก สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องต่อรองอีกทั้งยังมีคุณภาพดีรูปลักษณ์มีรสนิยม พวกเราเดินชมกันอยู่สักครู่ก็เดินทางออกมาเนื่องจากใกล้ถึงเวลาที่เรานัดหมายแล้ว ระหว่างทางที่เดินไปสถานทูตนั้นโชคดีมากที่อากาศไม่ร้อนแถมยังมีแดดอ่อนๆ ทำให้เดินได้ไม่เหนื่อย บริเวณที่ตั้งของสถานทูตไทยก็จะมีสถานทูตของประเทศอื่นๆ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทุกแห่งจะมียามยืนเฝ้าอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน ยามที่ประเทศจีน จะต้องยืนตรงอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถแอบหลับได้เลยเนื่องจากว่า จะต้องหันหน้า ซ้าย ขวา หน้าตรง อยู่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฉันเลยอดคิดไม่ได้ว่าช่วงมาทำอาชีพยามแรกๆ จะต้องมีการคอเคล็ดกลับบ้านกันอย่างแน่นอน เพราะหันอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดเลย สถานทูตบางแห่งมียามยืนประจำอยู่สามคนเป็นกลุ่ม เวลาหันหน้าก็จะหันไปพร้อมๆ กันทุกคน เป็นภาพที่น่ารักดี
เมื่อมาถึงสถานทูตเราก็ได้มาเข้าพบท่าน รัฐกิจ มานะทัต เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านทูตได้ให้การต้อนรับและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ท่านได้แนะนำเกี่ยวกับประเทศจีนและกรุงปักกิ่งอย่างคร่าวๆ และยังได้บอกพวกเราอีกว่า พวกเรามาเยือนประเทศจีนในช่วงของวันชาติพอดี (1 ตุลาคม) ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของพวกเราด้วย หลังจากพูดคุยและแนะนำตัวกันสักพักพวกเราก็ได้ขอตัวไปทำการซ้อมการแสดง เพื่อที่จะสามารถแสดงออกมาได้เป็นอย่างดี พร้อมเพรียง พวกเราซ้อมการแสดงตั่งแต่ช่วงบ่ายจนถึงประมาณหนึ่งทุ่ม ก็มีรถจากสถานทูตมารับเราไปรับประทานอาหารอีกเช่นเคย
ช่วงหัวค่ำวันนี้อากาศเย็นมาก เราบางคนไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไปเนื่องจากอากาศในตอนกลางวันอบอุ่นดี ไม่นึกว่าอากาศตอนเย็นจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ คนที่ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไปก็ต้องเดินเบียดๆ กันเพื่อสร้างความอบอุ่น อากาศที่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงบ่อยมีทั้งร้อน และหนาวในวันเดียว บางวันมีฝนตกแถมอีกต่างหาก เรียกว่าวันหนึ่งมีครบทั้งสามฤดูเลยก็ว่าได้ ทำให้ฉันและเพื่อนคนอื่นๆ หลายคนครั่นเนื้อครั่นตัวจนต้องทานยาแก้ไข้กันไว้ เพราะหากป่วยขึ้นมาในตอนนี้ละก็ คงจะหมดสนุกกันเลยทีเดียว
ร้านอาหารที่พวกเราไปรับประทานกันในวันนี้บรรยากาศดีมาก ตัวอาคารสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน มีต้นไม้ใหญ่ช่วยสร้างบรรยากาศภายในร้าน พวกเราเลือกที่นั่งด้านนอกอาคาร เพราะถึงแม้จะเย็นแต่ก็บรรยากาศดี เมนูในวันนี้พวกเราได้รับอนุญาตให้สั่งเองโดยมีผู้ดูแลจากสถานทูตคอยอธิบายว่าอาหารแต่ละเมนูมีรูปลักษณ์ หน้าตาอย่างไร เมื่ออำนาจในการตัดสินใจในการสั่งอาหารตกมาอยู่มือของเราแล้ว ภาพต่อไปคงจะนึกออกไม่ยาก อาหารกว่า 10 ชนิด ค่อยๆ ลำเลียงมาเสิร์ฟตรงหน้า จานแล้วจานเล่า แต่ละรายการที่สั่งไปถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้างตามประสา มีอาหารอยู่จานหนึ่งเป็นปลาทอดราดพริก รสชาติคล้ายกับปลากระป๋องตราสามแม่ครัวมากๆ (สงสัยเจ้าของร้านอาจจะไปเที่ยวประเทศไทยและได้รับอิทธิพลมา) และอีกจานที่จำได้ไม่ลืม คือเป็นเนื้อวัวนึ่งหั่นสไลด์ รสชาติเหมือนกับจิ้นนึ่งบ้านเราไม่มีผิด ถ้าหากวันนั้นใครพกน้ำพริกแดงติดไปด้วย คงจะมีการฟ้อนสาวไหมกันกลางโต๊ะเลยทีเดียว
ไฮไลท์ ของร้านนี้คือเมนูเป็ดปักกิ่ง ที่นำเป็ดปักกิ่งทั้งตัวมาแล่ให้พวกเราดูที่โต๊ะ แถมยังมีฉากไม้มากั้นไม่ให้โต๊ะอื่นแอบดูอีกตะหาก เหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า “ถ้าอยากเห็นก็สั่งเองสิจ๊ะ” ความตื่นเต้นของร้านนี้ยังไม่หมด เมื่อเรานั่งรับประทานไปได้สักครู่ พนักงานก็นำตะกร้าใบหนึ่งมายังโต๊ะของพวกเรา ตอนแรกยังมองไม่เห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในแต่ได้ยินเสียงกุกกัก ดังเล็ดลอดออกมา เมื่อมองเข้าไปปรากฏว่าเป็นปลาตัวเขื่องที่กำลังดิ้นพร่าน เพราะขาดอากาศหายใจ สอบถามได้ความว่ามีพวกเราคนหนึ่งสั่งเมนูปลา พนักงานจึงนำเอาปลาตัวที่จะนำไปปรุงอาหารมาให้ดูก่อน โถ...ไม่ต้องก็ได้ ฉันนึกในใจ
หลังจากนั้นประมาณ 45 นาที ปลาทอดเหลืองทองตัวใหญ่มาก ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ไม่ต้องบอกก็คงจะพอเดาได้ว่าเป็นปลาตัวไหน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อเจ้าปลาตัวนี้อุตส่าห์อุทิศตนเป็นตัวแทนของประชาชนปลาจีนมาเป็นอาหารให้แก่แขกบ้านแขกเมืองอย่างเราแล้ว พวกเราจึงทำหน้ามึนกินไปพร้อมยืนนิ่งไว้อาลัย 3 นาที
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็กลับที่พักแยกย้ายกันพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อพรุ่งนี้จะได้มีกำลังเต็มที่หน้าตาสดใส พร้อมรับมือกับภารกิจครั้งสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ของเรา
ไฮไลท์ ของร้านนี้คือเมนูเป็ดปักกิ่ง ที่นำเป็ดปักกิ่งทั้งตัวมาแล่ให้พวกเราดูที่โต๊ะ แถมยังมีฉากไม้มากั้นไม่ให้โต๊ะอื่นแอบดูอีกตะหาก เหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า “ถ้าอยากเห็นก็สั่งเองสิจ๊ะ” ความตื่นเต้นของร้านนี้ยังไม่หมด เมื่อเรานั่งรับประทานไปได้สักครู่ พนักงานก็นำตะกร้าใบหนึ่งมายังโต๊ะของพวกเรา ตอนแรกยังมองไม่เห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในแต่ได้ยินเสียงกุกกัก ดังเล็ดลอดออกมา เมื่อมองเข้าไปปรากฏว่าเป็นปลาตัวเขื่องที่กำลังดิ้นพร่าน เพราะขาดอากาศหายใจ สอบถามได้ความว่ามีพวกเราคนหนึ่งสั่งเมนูปลา พนักงานจึงนำเอาปลาตัวที่จะนำไปปรุงอาหารมาให้ดูก่อน โถ...ไม่ต้องก็ได้ ฉันนึกในใจ
หลังจากนั้นประมาณ 45 นาที ปลาทอดเหลืองทองตัวใหญ่มาก ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ไม่ต้องบอกก็คงจะพอเดาได้ว่าเป็นปลาตัวไหน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อเจ้าปลาตัวนี้อุตส่าห์อุทิศตนเป็นตัวแทนของประชาชนปลาจีนมาเป็นอาหารให้แก่แขกบ้านแขกเมืองอย่างเราแล้ว พวกเราจึงทำหน้ามึนกินไปพร้อมยืนนิ่งไว้อาลัย 3 นาที
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็กลับที่พักแยกย้ายกันพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อพรุ่งนี้จะได้มีกำลังเต็มที่หน้าตาสดใส พร้อมรับมือกับภารกิจครั้งสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ของเรา
Show times
วันนี้พวกเราตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะว่าต้องลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมกัน อากาศเย็นหนาวจี๊ดไปถึงหัวใจพวกเราหลายๆ คนเริ่มไม่สบายกันบ้างแล้ว เนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราไปถึงบริเวณงานในช่วงสาย เริ่มมีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องกระจายไปทั่วช่วยให้ความหนาวทุเลาลงบ้าง พวกเราแสดงกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ชื่อ The Place เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หรูหรา บริเวณโถงกลางมีหลังคาซึ่งเป็นจอทีวีขนาดยักษ์ ยาวประมาณ 20 เมตรกว้าง ประมาณ 5 เมตร เรียกว่าเวลามองต้องแหงนคอตั้งบ่าเลยทีเดียว
งานที่พวกเราไปร่วมแสดงในครั้งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Thai Festival 2007 ภายในงานนอกเหนือจากเวทีกลางที่ใช้สำหรับแสดงแล้ว ยังมีการเปิดซุ้มต่างๆไม่ว่าจะเป็น ซุ้มอาหารไทย ซุ้มการท่องเที่ยว และยังมีสาธิตการเพ้นท์ร่มบ่อสร้าง ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวจีนเป็นอันมาก สำหรับในส่วนของการแสดง มีการแสดงทั้งรำไทย ฟ้อนพื้นเมือง และการแสดงประยุกต์ เรียกความสนใจแก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมาและคนในบริเวณงานได้เป็นอย่างดี บางคนถึงกับไม่ยอมลุกไปไหนหลังจากที่การแสดงจบเพราะต้องการที่จะรอชมการแสดงในรอบต่อไป
ในคืนวันที่ 4 หลังจากการแสดงเสร็จสิ้นแล้ว ฉันและเพื่อน 2 – 3 คนได้ตัดสินใจกันว่าจะออกไปตระเวณราตรีที่กรุงปักกิ่งกัน โดยมีพีชผู้ดูแลจากสถานทูตพาเราไป พวกเราเดินทางไปกันที่ โฮ่ไห่ ซึ่งเป็นย่านที่มีร้านอาหารและสถานบันเทิงตั้งอยู่ บรรยากาศสวยงามมาก ตรงกลางมีบึงกว้าง วัยรุ่นมักจะพากันไปนั่งเรือเล่นชมบรรยากาศ (ฉันอดคิดไม่ได้ว่าที่นี่เป็นที่ๆ คนจะมาขอแต่งงานกันบ่อยที่สุดในกรุงปักกิ่งรึเปล่านะ) ร้านรวงต่างๆ ก่อสร้างโดยใช้ลักษณะของสถาปัตยกรรมจีนโบราณแต่เก๋ที่ตกแต่งภายในอย่างโมเดิร์นและมีการประดับไฟกระพริบตามทางเดินเต็มไปหมด ในวันที่เราไปมีฝนตกปรอยๆ จึงอดเห็นร้านค้าต่างๆ บริเวณสองข้างทางซึ่งจะวางขายทั้งสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านและสินค้าทั่วไป บรรยากาศคล้ายคลึงกับถนนข้าวสารกับทองหล่อผสมกัน ร้านที่เราเลือกไปนั่งกันนั้นเป็นร้านของคนไทย และบังเอิญมากที่ในวันนั้นมีปาร์ตี้คนไทยพอดี ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่เพราะบรรยากาศไม่ได้ต่างกับเที่ยวที่ประเทศไทยเลย เปิดเพลงไทยล้วนๆ คนในร้านพูดภาษาไทยทั้งหมด อบอุ่นแต่ไม่รู้สึกแตกต่าง
เรานั่งได้สักพักก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ระหว่างทาง เรานั่งรถชมวิวกรุงปักกิ่งยามราตรี พีชพาไปดูจัตุรัสเทียนอันเหมินในยามค่ำคืนซึ่งประดับไฟไว้สวยมาก เนื่องจากเป็นช่วงของวันชาติ ทุกที่ในกรุงปักกิ่งจึงประดับประดาไฟเต็มไปหมด กว่าเราจะถึงที่พักเวลาก็เกือบจะตี 3 ความง่วงและมึนเริ่มเข้ามาครอบคลุม คงต้องรีบนอนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไม่ไหว
Beijing in Love
สถานที่แรกที่จะไปในเช้าวันนี้คือ เทียนถาน (Tian Tan Temple of Heaven) ด้านในประกอบไปด้วย หอบูชาสวรรค์ บริเวณหอบูชาสวรรค์นี้ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมด้านใน มีการล้อมรั้วเหล็กเอาไว้แล้วเราต้องชะเง้อมองเอาเอง ซึ่งฉันก็ชะเง้อแล้วชะเง้ออีกก็มองอะไรไม่ค่อยจะเห็นเพราะคนเยอะมากเนื่องจากเป็นวันชาติ เมื่อพยายามอย่างที่สุดแล้วฉันเลยตัดใจ ไม่เห็นก็ได้ ถือว่ามาแล้วก็แล้วกัน หลังจากที่ชะเง้อจนเมื่อยคอและปลายเท้าแล้ว ฉันก็เดินไปต่อที่กำแพงเสียงสะท้อน มีลักษณะเป็นวงกลมแค่พูดเบาๆ ก็จะได้ยินกันทั่วทั้งกำแพง ซึ่งด้วยความที่เป็นวันชาติอีกเช่นกัน ฉันจึงไม่รู้ว่าเราจะได้ยินเสียงกันจริงๆ ไหม เพราะคนเยอะมาก ฉันได้ยินแต่ภาษาจีน พอพวกเราไม่ได้ยินเสียงกันก็เริ่มตะโกนใส่กำแพง สรุปเลยไม่รู้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นน่ะ สะท้อนมาจากกำแพงหรือมาจากเสียงที่ตะโกน พวกเราลองทดสอบอยู่สักพักก็เริ่มเหนื่อย จึงออกเดินทางกันต่อไปยังบริเวณอื่นๆ ภายในเทียนถาน
อีกจุดหนึ่งซึ่งน่าสนใจก็คือ จุดบวงสรวงสวรรค์ของฮ่องเต้ เชื่อกันว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณที่อยู่ตรงกับสวรรค์และใกล้ชิดกับสวรรค์มากที่สุด จึงเป็นจุดที่ฮ่องเต้ใช้บูชาสวรรค์เป็นประจำ และด้วยเหตุผลเดิมคือคนเยอะมากฉันก็มองไม่ค่อยเห็นอะไรนอกจากคนตาตี่เป็นร้อยคน เสร็จจากการชมจุดบูชาสวรรค์แล้ว พวกเราก็ออกมารวมตัวกันที่รถตู้ เพื่อตอนบ่ายเราจะเดินทางไปเยี่ยมชม กู้กง หรือพระราชวังต้องห้ามในตำนานต่อไป
รถตู้พาเรามาส่งบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน (ภายในนั้นเป็นที่เก็บศพของท่านประธานเหมา เจ๋อตุง) ซึ่งตั้งอยู่ละแวกเดียวกับกู้กงนั่นเอง จุดที่ได้รับความนิยมอีกจุดหนึ่งคือ มีการติดตั้ง Olympic Countdown Clock ซึ่งวันที่พวกเราไปนั้นเหลือเวลาอีก 312 วัน พวกเราพากันไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พูดถึงเรื่อง Olympic แล้ว ชาวจีนตื่นตัวและตื่นเต้นกันมาก ของชำร่วยเกี่ยวกับงาน Olympic วางขายอยู่ทั่วเมือง ประเทศมีการพัฒนาทางด้านต่างๆ เพื่อรองรับงาน Olympic ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงห้องน้ำให้มีความเป็นสากลมากขึ้น เพราะหากใครเคยไปเมืองจีนในช่วงก่อนก็คงจะพอนึกภาพห้องน้ำออก เคยมีโอกาสไปเข้าห้องน้ำสาธารณะ บังเอิญห้องที่ว่างอยู่ในสุด ก็ต้องเดินเข้าไป ระหว่างทางฉันเห็นสาวจีนนั่งปัสสาวะอยู่เรียงราย ตกใจมาก!!!
ระยะทางจากที่เราลงรถไปถึงพระราชวังประมาณ 500 เมตร แต่ด้วยความที่คนเบียดเสียดยัดเยียดทำให้เราใช้เวลาเดินมากกว่าปกติ ตอนจังหวะที่เดินลอดอุโมงค์ใต้ดินฉันแอบคิดไม่ได้ว่าหากอยู่ๆ มีคนตะโกนว่า ระเบิด ฉันคงโดนเหยียบแบนอยู่ตรงนั้น โชคดีที่เป็นแค่เรื่องในความคิด ฉันจึงมาถึงพระราชวังอย่างสวัสดิภาพ ภายในพระราชวังก็มีพระตำหนักต่างๆ มากมาย เหมือนหลุดมาในหนังจีนกำลังภายใน มีทั้งสถานที่สอบจอหงวน มีบัลลังค์ซูสีไทเฮา ซึ่งสลักลวดลายหงส์เหนือมังกร มีโอ่งทองคำแท้ แต่โดนขูดทองออกไปสมัยยุคปฏิวัติเหลือแต่เพียงคราบกระดำกระด่าง คนจีนในยุคปฏิวัตินั้นจะว่าไปแล้วก็ทำลายวัฒนธรรมรากเหง้าของตนเองเป็นอันมาก เนื่องจากคิดแต่จะลบล้างราชวงศ์ ยึดและทำลายทุกอย่างที่เป็นของราชวงศ์ โดยมีผู้นำคือประธานเหมาเจ๋อตุง ซึ่งข้อเสียก็คือทำให้สถานที่ทางวัฒนธรรมต่างๆ ของจีนถูกทำลายลงเป็นส่วนใหญ่ และหากใครเคยไปเยือนประเทศไต้หวันคงจะต้องเคยไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์กูกง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของในพระราชสำนักจีนที่เจียงไคเช็คนำใส่เรือย้ายจากประเทศจีนเพื่อนำมาเก็บรักษาไว้ยังเกาะไต้หวันนั่นเอง
ในปัจจุบัน รัฐบาลจีน และประชาชนชาวจีน เล็งเห็นถึงคุณค่าของวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของตนเริ่มมีการบูรณะตึกรามบ้านช่อง พระราชวังต่างๆให้อยู่ในสภาพดี และหากใครเคยอ่านข่าวที่ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันแห่งหนึ่งถูกต่อต้านหลังจากที่ได้เข้าไปทำการค้าภายในบริเวณพระราชวังต้องห้าม อาจจะมีความรู้สึกเดียวกับฉันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราใช้เวลาในพระราชวังต้องห้ามประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เดินทางไปยัง walking street หรือ ถนนคนเดินชื่อ หวังฟูจิง ลักษณะคล้ายคลึงกับสยามสแควร์ เป็นแหล่งรวมของวัยรุ่น บริเวณตรงกลางเป็นหอนาฬิกา มีข้าวของขายมากมายหลายอย่าง และมีซอยเล็กๆ ที่ขายของพื้นเมืองทั้งซอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาไม่แพงจนเกินไป (แต่ก็ต้องอย่าลืมที่จะต่อรองราคาก่อนซื้อ) วันนั้นเดินทั้งวันจนขาแข็ง ฉันเลยหยุดพักทานโยเกิร์ตพื้นเมืองของที่นี่ ราคาประมาณ 3 หยวน (15 บาท) เป็นโยเกิร์ตโฮมเมด ข้นคลักมาก ฉันว่ารสชาติมันก็อร่อยแบบแปลกๆ ดี ถึงจะเหมือนกินนมบูดอยู่หน่อยๆ แต่ด้วยความข้นเลยรู้สึกว่ากินแล้วต้องสุขภาพดีแน่นอน วันนั้นก็เลยกินไป สองขวดเต็มๆ
ที่นี่ยังคงมีความเป็นสังคมนิยมอยู่อย่างชัดเจน เช่น ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ฉันได้ไปเดินที่หวังฟูจิงอีกครั้งเพื่อจะซื้อของฝากให้ครบ เวลาที่ไปถึงก็เป็นเวลาเกือบๆ 5 ทุ่ม ฉันดูของได้สักพักก็ต้องตกใจเพราะทุกร้านรีบเก็บข้าวของปิดหน้าร้านเหมือนหนีเทศกิจ ฉันถามคนที่พาไปด้วยก็ได้คำตอบว่า ร้านค้าเหล่านี้มีกำหนดต้องปิดเวลา 5 ทุ่ม ฉันเลยเข้าใจแต่ก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่าเขาค่อยๆ เก็บไม่ได้หรือ ทำไมต้องทำท่าตื่นเต้นตกใจขนาดนั้นทำเอาฉันพลอยตกใจไปด้วย
แต่ตรงจุดนี้ก็มีข้อดีของมันเช่นกัน เพราะฉันสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูกมากแทบจะไม่ต้องต่อเลย นอกจากหวังฟูจิงแล้วฉันยังได้ไป Yue Ley Chang หรือ เรียกง่ายๆว่าเป็นถนนสายวัฒนธรรม บ้านเรือนยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม ยังพบเห็นคนขี่จักรยานกันขวักไขว่ไปมา ที่นี่จะจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมจริงๆ เช่น พู่กันจีน ผ้าปักพื้นเมือง พระเก่า ภาพเขียนพู่กัน ฯลฯ ฉันได้ภาพเขียนพู่กันจีนรูปเสือมาจากที่นี่ ฝีมือประณีตมากสมกับที่เคยมีคนบอกฉันว่าคนจีนเขียนดรออิ้งเก่งมาก อาจเป็นเพราะโดยธรรมชาติของเขาเป็นคนใจเย็น อย่างเช่นเวลาเราฟังเพลงจีนเราก็จะรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย
การเดินทางในกรุงปักกิ่งของฉันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ แต่ความทรงจำและความประทับใจยังคงตรึงติดอยู่กับความรู้สึกของฉันอย่างยากจะลืม ในคืนสุดท้ายที่ฉันอยู่บนถนนหวังฟูจิง เสียงระฆังดังออกมาจากหอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ฉันรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างยาวนานเหลือเกิน
ลาก่อนกรุงปักกิ่ง...
ตีพิมพ์ในนิตยสาร HIP : Dec 2007
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น