วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Don't do it

ได้รับโจทย์ให้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรทำ ตอนแรกรู้สึกว่าไม่ยากเลย ฉันมีเรื่องไม่พอใจรอบตัวอยู่เยอะแยะ แต่พอลองมากลั่นความรู้สึกให้ตกตะกอนดูกลับพบว่าฉันไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบอะไรจริงๆเลยสักอย่างเดียว เอาละซีทีนี้จะเขียนอะไรดี การที่ฉันบอกว่าไม่เคยเกลียดหรือไม่ชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่าพอใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวหรอกนะ มีหลายอย่างมากมายที่มันขัดหูขัดตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่นที่เหมือนหลุดออกมาจากบล็อกเดียวกันแต่งตัวตามๆกันโดยลืมไปว่าโลกนี้มีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ากระจก และมันมีคุณสมบัติในการใช้งานอย่างไร หรือจะเป็น หนังผี ที่ออกมากันให้เกลื่อนเกร่อ นัยว่าขอให้มืดๆหน่อย (ประหยัดงบไฟดี) เสียงดังๆนิดนึง บวกกับตัดต่ออย่างรวดเร็ว ก็กลายเป็นหนังผีเขย่าขวัญได้แล้ว เราอย่าไปดูถึงเนื้อหาเลย แค่อ่านชื่อที่จั่วหัวอยู่บนแผ่นโฆษณาก็รู้ถึงตอนจบแล้ว ฉันว่าหากจะทำหนังชนิดนี้อยู่อีกแนะนำให้ผู้ผลิตใช้นามแฝงแทน เพราะใส่ชื่อจริงนามสกุลจริงลงไป ไม่แน่ลูกหลานของท่านอาจโดนเพื่อนล้อที่โรงเรียนก็ได้ และเรื่องที่เห็นแล้วหงุดหงิดกวนใจเหมือนมีอะไรมาแหย่จมูกก็คือ การอภิปรายต่างๆของคณะที่ออกกฎหมายมาให้เราปฏิบัติตามนั่นแหละ ในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายนั้น เถียงกันหูดับตับแลบ ที่ไหนได้ เมื่อออกมาจากห้องอภิปรายแล้ว (ลับหลังจากการถ่ายทอดสด) ก็ออกมาขอโทษขอโพยกัน ที่ทำไปเพราะต้องการให้ประชาชนในท้องถิ่นของตนเห็นว่าตนเป็นคนกล้าคิดกล้าพูด โอ้วววววว์
ทั้งหมดนี้ถามว่าชอบไหม ก็ไม่ แต่รับได้ไหม รับได้ ไม่ได้หมายความว่าฉันเห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่ฉันเกิดที่นี่ ฉันโตมาในบริบทสังคมแบบนี้ ฉันมีภูมิคุ้มกันแล้ว เหมือนพวกหมองูที่ต้องฉีดพิษงูเข้าตัวนั่นแหละ... ฉันเลยคิดว่า สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดใน สถานการณ์เช่นนี้ก็คือต้องบอกตัวเองว่า ช่างแม่งเหอะ... มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเหตุการณ์เล็กๆเรียบๆแต่ก็เปลี่ยนมุมมองในชีวิตฉันไปได้เยอะเลยทีเดียว
วันนั้นเป็นค่ำวันอาทิตย์ ฉันกับเพื่อนชักชวนกันออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน เพื่อฆ่าเวลาก่อนจะไปกินเหล้าตามประสาสาวเมา ฉันมองไปตามรายทางเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งฉันมองไปเห็นเฟรมๆหนึ่ง รูปบนเฟรมทำให้หวนคิดถึงเพื่อนอีกคนที่เรียนมาด้วยกัน ฉันเริ่มบทสนทนากับเพื่อนข้างๆ “ถ้าอีแอนมาที่นี่คงเซ็ง” เพื่อนหันมามองหน้า พร้อมกับถามฉันอย่างงงๆ “ทำไมวะ” ฉันหัวเราะพร้อมกับตอบ “ก็มึงดู แม่งมีแต่งานพระ อีแอนมันเกลียดงานพระ ถ้ามันมาที่นี่มันคงเซ็งชิบหาย” เพื่อนฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นเราสองคนก็เดินเบียดฝูงชนกันไปเงียบๆ จนกระทั่งมันพูดขึ้นมาดื้อๆว่า “กูไม่อยากเกลียดอะไร” ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนเป็นเชิงสงสัย “ก็เวลากูเกลียดอะไรแล้วกูเหนื่อย”……
เนื้อหาใจความในการสนทนามีเพียงเท่านี้ ฉันกลับมานั่งทบทวนกับประโยคสุดท้ายที่เพื่อนพูด มันก็เป็นความจริง ฉันเกลียดนู่นเกลียดนี่มากมายเต็มไปหมด แต่ความเกลียดของฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ฉันเกลียดให้ดีขึ้นมาได้เลย สุดท้ายแล้วคนที่เหนื่อยก็คือฉันเอง แล้วอย่างนี้ เราจะเกลียดอะไรไปทำไม เราจะเหนื่อยในสิ่งที่ไม่ควรเหนื่อยไปเพื่ออะไร แค่การมีชีวิตแต่ละวันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว สิ่งที่ฉันได้จากการเดินฆ่าเวลากินเหล้าวันนั้นก็คือการปล่อยวาง เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเริ่มรำคาญใจ นึกดูให้ดีดี สักแห่งในร่างกายของอาจเราเคยถูกฉีดเซรุ่มเข้าไปแล้วโดยไม่รู้ตัว... หรืออย่างน้อยๆ ก็คิดซะว่า ช่างแม่ง ช่างแม่ง .....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น