
หลังจากการหาข้อมูลจริงจังฉันก็พบว่า การเดินทางไปประเทศอิสราเอลนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลยต้องผ่านด่านต่างๆมากมายเริ่มตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ สายการบินที่บินตรงจากไทยไปอิสราเอลมีเพียงสายการบินเดียวคือ EL AL สายการบินประจำชาติอิสราเอล โดยมีขั้นตอนในการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตั้งแต่ตอนเช็คอิน ผู้โดยสารจะต้องเดินทางมาถึงก่อนเวลาสามชั่วโมงเพื่อมารับการสัมภาษณ์รายบุคล พอสัมภาษณ์เสร็จ ยังต้องมีการตรวจค้นสัมภาระกันอย่างละเอียดยิบ หลังจากที่ผ่านขั้นตอนนี้ไปได้เราก็จะสามารถเช็คอินและรับ Boarding Pass แต่กระเป๋าเดินทางที่น่าสงสารยังต้องระหกระเหินถูกส่งเข้าไปในห้อง pressure chamber ซึ่งถ้ากระเป๋ามีวัตถุระเบิดซ่อนอยู่ แรงดันจากห้องดังกล่าวจะทำให้ระเบิดออกมาก่อน เฮ้อ...! ฟังแล้วเหนื่อยไหมคะ ขอเล่าให้เห็นภาพแค่คร่าวๆก็แล้วกัน เดี๋ยวจะพาลเลิกอ่านกันซะก่อน พอเราขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินเรียบร้อยแล้วขอแนะนำว่าถ้าหลับได้ให้หลับเลยค่ะ เนื่องจากระยะเวลาการเดินทางยาวนานมากประมาณ 11 ชั่วโมงยังกะเดินทางไปแถบยุโรปเหนือ สาเหตุก็เพราะว่าต้องบินเลี่ยงน่านฟ้าของกลุ่มประเทศอาหรับโดยเลาะไปทางทะเลแดง ทำให้การเดินทางที่ควรจะใช้เวลาแค่ 6-7 ชั่วโมงกลับต้องขยายเวลาออกไปอีก จุดหมายปลายทางของเราคือสนามบินนานาชาติเบนกูเรียล (Ben Gurion) ซึ่งนับได้ว่าเป็นสนามบินที่ปลอดภัยสูงที่สุดในโลก เนื่องจากสนามบินแห่งนี้เคยถูกโจมตีหลายครั้ง จนกระทั่งมาตรการรักษาความปลอดภัยได้ถูกปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก

เฮ้อ....กว่าจะมาถึงจุดหมายก็แทบจะเป็นลมไปตามๆกัน ในเมื่อการเดินทางมันยากลำบากขนาดนี้ฉันก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้คุ้มค่ามากที่สุดล่ะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปตะลุยประเทศอิสราเอลกันเลยดีกว่า ที่แรกที่จะพาทุกคนไปคือตลาดคาร์เมล (Carmel Market) อยู่ใจกลางเมืองเทลอาวีฟ (Tel Aviv) ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ ของขายก็มีมากมายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ในส่วนของร้านค้าต่างก็ตกแต่งกันด้วยสีสันฉูดฉาดสะใจประกอบกับแสงแดงสดใสยิ่งทำให้บ้านเมืองดูมีชีวิตชีวา จนแทบไม่น่าเชื่อว่าประเทศเล็กๆนี้น่ะเหรอที่มักเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง บรรยากาศภายในตลาดก็เหมือนตลาดใหญ่ๆทั่วไปมีผู้คนพลุกพล่าน ส่วนเวลาจะซื้อของ ที่นี่ก็มีพิธีกรรมอย่างเดียวกับทั่วโลกคือต้องต่อๆๆๆพร้อมกับทำหน้าเศร้าเข้าไว้ ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องทำท่าเย่อหยิ่งพร้อมกับตีจากอย่างไม่มีเยื่อใย แต่หูก็ต้องคอยฟังเจ้าของร้านร้องเรียกด้วยนะคะ สูตรนี้ถือเป็นไม้ตายที่รู้กัน แต่ถ้าไม่สำเร็จก็เศร้าไป ในกรณีที่อยากได้จริงๆก็ค่อยวานให้เพื่อนอีกคนไปซื้อให้แทนเพราะเราเย่อหยิ่งไปแล้วนี่ค่ะทำไงล่ะคนมันอยากได้นี่

หลังจากเดินตลาดพอเป็นกษัยกันแล้วจุดหมายต่อไปก็คือเที่ยวชมวิวเขตจาฟฟา (Old Jaffa) เป็นเมืองเก่าแก่อายุกว่า 3000 ปีตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนเรียกได้ว่าเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งของอิสราเอลค่ะ ปัจจุบันรัฐบาลอิสราเอล ได้อนุรักษ์เขตนี้ไว้ แล้วอนุญาตให้ศิลปินมาพักอาศัยทำงานสร้างสรรค์และขายผลงานของตนเองแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน แต่ในวันที่ไปฉันกลับไม่ค่อยพบเห็นผู้คนซักเท่าไหร่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่าจนแอบคิดว่าเป็นเมืองร้างรึเปล่า ไม่แน่ชาวเมืองเค้าอาจจะหลบแดดกันอยู่ในบ้านก็ได้เพราะแดดที่อิสราเอลแรงมาก แต่ถึงแม้อากาศจะร้อนแรงแดงฉ่าสักแค่ไหนฉันก็ไม่หวั่นไหว วิ่งไปถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้อย่างเพลิดเพลิน ดูไปดูมาคล้ายกับฉากละครเรื่อง Mamma Mia เหมือนกันนะเนี่ยว่าแล้วฉันก็เลยเต้นเพลง ABBA ไปหนึ่งเพลง

ไหนๆเราก็เริ่มจากการเที่ยวชมเมืองแล้ว เราไปต่อกันที่เขตซิกรอน ยาคอฟ (Zichron Yaakov) เลยดีกว่า สถานที่นี้เปรียบเสมือนหัวหินของเมืองไทยเป็นเมืองต่างอากาศไฮโซนิดๆ ใช้เวลาขับรถซักพักจากตัวเมือง อยู่ติดกับทางตอนใต้ของเมืองเทลอาวีฟ ผู้คนมักจะพลุกพล่านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีทั้งคนอิสราเอลเอง และ นักท่องเที่ยว อาคารบ้านเรือนตกแต่งแบบน่ารักมีของวางขายตามรายทาง อารมณ์คล้ายๆกับ Sunday Market ทั่วไป ใครไคร่ค้าม้าค้าไคร่ค้าช้างค้าอย่างนั้นเลยล่ะค่ะ

มาถึงอิสราเอลแล้วไม่ไปลอยตัวที่ทะเล Dead Sea ก็คงจะน่าเสียดายมากๆ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนเปลี่ยนชุดว่ายน้ำและทาครีมกันแดดตรียมไว้เลยค่ะ ครั้งแรกที่ฉันรู้จักทะเล Dead Sea ก็คงจะเป็นวิชาภูมิศาสตร์ในหนังสือ ส.ป.ช. เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ใครจะไปนึกละว่าจะได้มีโอกาสมาจริงๆ เพราะฉะนั้นเรื่องการเตรียมตัวไม่ต้องห่วง พร้อมมากค่ะ!!! ฉันเตรียมชุดว่ายน้ำไปทั้งหมดสามตัว ไม่รู้เอาไปทำไมเยอะขนาดนั้น สุดท้ายเลือกไม่ถูกอยากจะใส่ทับๆกันไปซะสามชั้น แต่ก็กลัวจะหายใจไม่ออกเลยจำใจเลือกตัวเก่งแค่ตัวเดียว สำหรับข้อควรระวังมากที่สุดในการแช่ Dead Sea ก็คือถ้ามีแผลควรป้องกันไม่ให้แผลสัมผัสกับน้ำทะเลโดยตรง ไม่อย่างนั้นละก็น้ำเกลือเข้มข้นก็จะซึมเข้าไปกัดแผลแสบแบบสุดๆ แต่ถ้ามีรสนิยมซาดิสม์นิดๆคงจะเพลินล่ะคะงานนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ต้องระวังก็คือย่าให้น้ำทะเลเข้าตาเป็นอันขาด กรณีนี้โดนกับตัวขอบอกว่าทรมานมาก สาเหตุก็เพราะว่าลีลาถ่ายรูปมากไปหน่อยผลสุดท้ายน้ำทะเลก็กระเด็นเข้าตาเป็นที่เจ็บปวด ลืมตาไม่ขึ้นเลยค่ะ เฮ้อ....เกิดเป็นตุ้ยนี่มันยากจริงๆ

หลังจากเพลิดเพลินเจริญตากับการเที่ยวชมเมืองกันพอสมควรแล้ว คราวนี้ก็มาถึงโปรแกรมเด็ดที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวอิสราเอลค่ะ อย่างที่เกริ่นตั้งแต่ต้นว่าอิสราเอลเป็นประเทศต้นกำเนิดศาสนาสำคัญถึงสามศาสนา นอกจากนั้นดินแดนอันศักดิสิทธิ์แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถูปที่ฝังพระศพของ “พระบ๊อบ” ศาสดาพระองค์หนึ่งของศาสนาบาไฮ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาคาร์เมลใน เมืองไฮฟา( Haifa ) เป็นที่รู้จักกันโดนทั่วไปว่าสวนบาไฮ (Bahai Garden)

สวนแห่งนี้สร้างจำลองอุทยานสวรรค์ได้อย่างงดงามน่าอัศจรรย์ สังเกตจากรูปจะเห็นว่าบันไดที่ทอดยาวตั้งแต่ยอดเขาจนจรดถนนนั้นแทบจะเป็นเส้นตรงเดียวกันเลย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญค่ะ หลังจากที่มีการก่อสร้างสวนบาไฮเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าถนนด้านล่างอยู่เยื้องกับปลายบันไดไปเล็กน้อย ดังนั้นคณะศรัทธาจึงได้ทำการย้ายถนนให้เป็นเส้นตรงเดียวกับบันใดเพื่อความสวยงาม ด้วยความสงสัยฉันจึงได้ถามไกด์ท้องถิ่นไปว่า แล้วรัฐบาลเค้าไม่ว่าอะไรเหรอ ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ไม่ได้นับถือศาสนาบาไฮ แล้วการที่จะย้ายถนนนี่ก็ไม่เรื่องเล่นๆ คุณลุงไกด์ใจดีได้กรุณาตอบคำถามว่า รัฐบาลไม่ว่าอะไรหรอกเพราะว่าทางผู้สร้างออกเงินเองทั้งหมด อีกทั้งเค้ายังอยากให้ที่สวนแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย เอ้อ ก็จริงของเค้านะ ขนาดฉันไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาบาไฮซักเท่าไร ยังหยิบเอามาเล่าเป็นคุ้งเป็นแควได้ขนาดนี้ อีกทั้งนักท่องเที่ยวก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปชมอย่างไม่ขาดสาย ถือว่างานนี้รัฐบาลอิสราเอลมองเกมขาดจริงๆค่ะ

ในที่สุดก็ได้โอกาสพาทุกคนไปยังสถานที่ที่รอคอยกันซักที เมื่อพูดถึงอิสราเอลแล้วเมืองแรกๆที่เราจะนึกถึงนั่นก็คือกรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem) กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งของโลก ปัจจุบันถือว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธ์ของสามศาสนา โดยมีการแบ่งการปกครองออกเป็นของยิว อาหรับ มุสลิม และ คริสต์ ที่ดินบริเวณเมืองเก่ากรุงเยรูซาเล็มแห่งนี้นับวันจะมีมูลค่าสูงมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งรัฐบาลได้ออกกฎหมายว่าถ้าหากใครได้แจ้งย้ายสำมะโนครัวออกจากเยรูซาเล็มไปแล้วจะไม่สามารถย้ายกลับเข้ามาได้อีก ผลก็คือมีผู้คนอัดแน่นอยู่ในเมืองเก่าเล็กๆแห่งนี้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างบริเวณกรุงเยรูซาเล็มนี้มีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากกาลเวลาที่ยาวนานและความเชื่อที่หลากหลาย หากใครได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนจะสังเกตเห็นว่า มีสิ่งก่อสร้างต่างๆปะปนทับซ้อนกัน บางส่วนเป็นของชาวมุสลิมในขณะที่อีกฝั่งกำแพงชาวยิวถือว่าเป็นที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด หรือในโบสถ์เดียวกัน โซนหน้าเป็นของนิกายหนึ่ง เข้าไปในอีกโถงกลายเป็นของอีกนิกาย อีกทั้งภายในยังมีศิลปะจากยุคพันกว่าปีก่อนบ้าง สร้างเพิ่มเมื่อไม่กี่ร้อยปีบ้าง หรือพึ่งซ่อมแซมเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนบ้าง เสมือนกับเป็นสถานที่ที่อยู่เหนือกาลเวลา เราจะสามารถพบเห็นร้านกาแฟเล็กๆตามสมัยนิยมตั้งอยู่บนซากเมืองเก่าสมัยโรมันซึ่งคือเส้นทางที่พระเยซูเดินเพื่อไปยังจุดสุดท้ายที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน แค่เกริ่นเพียงเท่านี้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ เอาล่ะ เรามาเริ่มเดินทางตามรอยเท้าพระเยซูไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า

บริเวณกรุงเยรูซาเล็มนี้หากมองเผินๆเราจะเห็นเหมือนกับเป็นย่านขายของที่ระลึกโดยทั่วไป เพราะมีร้านค้าและมีแผงลอยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปริมาณของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลั่งไหลมายังดินแดนอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ เมื่อครั้งแรกที่ฉันไปถึงนั้นฉันตกใจกับบรรยากาศและความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้า มันช่างแตกต่างกับความคิดแรกของฉันเสียเหลือเกิน ก่อนที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ฉันคิดว่าคงเป็นสถานที่ๆสงบแลดูมีมนต์ขลัง หากแต่เปล่าเลย รอบตัวฉันมีแต่ความอึกกะทึกครึกโครมจนน่าตกใจ

เรากำลังจะเริ่มเดินทางกันบนถนนเวีย โดโลโรซา (Via Dolorosa) ถนนสายเก่าแก่ที่พระเยซูทรงแบกไม้กางเขนผ่าน ซึ่งมีจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆทั้งสิ้น 14 จุด เริ่มตั้งแต่ จุดแรกคือจุดที่ปิลาโตตัดสินประหารชีวิตพระเยซู เรื่อยไปจนกระทั่งถึงสถานที่ฝังพระศพของพระเยซู ซึ่งบริเวณจุดท้ายๆตั้งแต่จุดที่ 10 – 14 นั้นตั้งอยู่บนบริเวณที่เรียกว่า Church of the Holy Sepulchre โบสถ์แห่งนี้เองที่ชาวคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลกอยากมีโอกาสมาสักครั้งในชีวิต เสียงร้องเพลงสวดมนต์ดังกึกก้อง และใบหน้าอันเลื่อมใสศรัทธาของชาวคริสต์ทำให้ฉันอดขนลุกไปด้วยไม่ได้ อีกบริเวณหนึ่งที่มีผู้คนให้ความสนใจมากก็คือ แท่นหินที่ใช้ในการชำระพระศพของพระเยซู คริสต์ศาสนิกชนที่มีโอกาสมาสักการะก็มักจะเข้าไปลูบไล้ และจูบลงบนแท่นหินแห่งนี้

และไม่ไกลจาก Church of the Holy Sepulchre ยังมีสถานที่อีกที่หนึ่งซึ่งมีเชื่อเสียงและมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือ กำแพงร้องไห้ (Walling / Western Wall)ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดที่ยังคงอยู่ของชาวยิวทั่วโลก ความจริงแล้ว กำแพงร้องไห้ คือ ส่วนที่หลงเหลือของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกทำลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า โทษฐานเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อของชาวยิว (ความเชื่อที่แตกต่าง !!?) ชาวยิวต่างเดินทางมาสวดมนต์ที่กำแพงแห่งนี้เป็นเวลานานกว่า 2,000 ปีแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดในโลก

และพระเจ้าจะคอยฟังทุกคำขอของผู้ที่มาสวดอ้อนวอน เราจึงสามารถพบเห็นผู้คนมากมายพากันมาสวดมนต์ภาวนา บ้างก็ร้องไห้คร่ำครวญในชะตากรรมของตนเอง นอกจากนี้ชาวยิวยังนิยมเขียนคำขอลงในเศษกระดาษและสอดเข้าไปตามรูเล็กๆ ของกำแพง เพื่อพระเจ้าจะได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตนต้องการ สำหรับอีกฝั่งของกำแพงนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม

คือบริเวณที่ตั้งของโดมทอง (Dome of the Rock) / มัสยิดโอมาร์ (Mosque of Omar) ถือว่าเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวมุสลิมอีกแห่งหนึ่งและยังเชื่อว่ามีหินศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ภายในซึ่งศาสดามูฮะหมัดทรงเหยียบและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ สำหรับในส่วนนี้นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากอนุญาตเฉพาะชาวมุสลิมเท่านั้น ฉันเลยได้แต่ถ่ายภาพมาให้ชมกันจากมุมไกลๆ
จะเห็นว่าแค่เพียงพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตรในกรุงเยรูซาเล็มนั้นเต็มไปด้วยความหลากหลายทางความเชื่อ และศาสนา ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่จากการสังเกต ฉันพบว่ามีอยู่สาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้ทั้งหมดสามารถอยู่ร่วมกันได้ นั่นคือเศรษฐกิจ ด้วยความที่เป็นสถานที่ที่มี เรื่องราวและคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมายขนาดนี้ นักท่องเที่ยวย่อมหลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกๆคนล้วนแล้วแต่ได้รับประโยชน์จากดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไฉนเลยจะหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง แต่การอยู่ร่วมกันย่อมมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่ก็สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ไม่ตรงกัน
แต่ก็อย่างว่า ขนาดคนพูดภาษาเดียวกัน กินข้าวเหมือนกัน ร้องเพลงชาติเพลงเดียวกัน ยังไม่ค่อยจะถูกกันเลย หรือไม่จริง........ ?
Shalom ค่ะ
ป.ล. Shalom เป็นคำกล่าวทักทายในภาษาฮิบรู มีความหมายว่า “ สันติสุข ”
ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร HIP : Oct 2009
สวัสดีค่ะ ขอแบ่งปันบทความดีๆแบบนี้ไปลงใน facebook ของสถานทูตอิสราเอลนะคะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ปล. อย่าลืมมากด like ด้วยนะคะ ;)
ขอบคุณมากกกกก ค่ะ ดีใจจังเลย ไม่ได้อัพบล๊อคมานานมากกกกกกก พอเจออย่างงี้แล้วอยากกลับมาเขียนหนังสืออีก มากๆๆๆๆๆ เลย
ตอบลบ